
ที่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม บริษัท H&P architects ได้รีโนเวทตกแต่งภายในให้กับร้านทำผมสำหรับผู้หญิงเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งร้านนี้อยู่ในย่านที่ผู้คนพลุกพล่านอย่าง van quan area การรีโนเวทครั้งนี้พยายามที่จะลดข้อเสียและใช้งบประมาณด้านต่างๆให้น้อยที่สุด โดยเหล่าสถาปนิกใช้วิธีการนำของที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ (re-using) ได้แก่ ประตู โซนด้านหน้าที่ใช้กระจก เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นดั่งคำเชื้อเชิญให้อยากเข้ามาในร้าน พร้อมสร้างความโดดเด่นเมื่อเทียบกับบริเวณใกล้เคียง
จุดมุ่งหมายของบริษัท H&P architects คือการสร้างร้านทำผม “Manh Manh” ให้โดดเด่นฉีกแนว แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับพื้นที่นี้อยู่ โดยการคิดค้นนี้เกี่ยวข้องกับสัมผัสทั้ง 5 ด้วย ดังนั้นการตกแต่งภายในจึงผสมผสานระหว่างการติดโคมไฟห้อยเพดานกับลูกปัดที่ห้อยลงมาแต่ก็มีการซ่อนไฟไว้ด้วย เพียงแตะเบาๆหรือมีสิ่งใดมากระทบเล็กน้อยลูกปัดก็จะส่งเสียง แถมเมื่อมองขึ้นไปยังให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับการปีนเชือกด้วย
กลิ่นหอมของดอกไม้และชา ทำให้ทุกคนที่เข้ามารู้สึกอบอุ่น ซึ่งวัสดุที่ใช้มีทั้งเก่าและใหม่ ประกอบด้วย การเรียงอิฐเป็นลวดลาย ทำเคาน์เตอร์ไม้และใช้กระจก ทั้งนี้ จุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งเพดานด้วยการใช้ลูกปัดหรือลูกประคำประมาณ 200,000 เม็ดทำขึ้นจากไม้ในลักษณะกลมๆ และถูกแขวนห้อยลงมาแบบตั้งใจให้มีความยาวแตกต่างกัน ประดุจม่านหรือมู่ลี่ที่เรียงรายลอยอยู่บนหัวเราเป็นคลื่นขึ้นลงพุ่งมา
รายละเอียดโครงการ :
สถานที่ : โซน van quan urban ฮาดอง เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม
บริษัทออกแบบ : H&P architects
ผู้ออกแบบหลัก : doan thanh ha & tran ngoc phuong
ทีมงาน : pham linh chi, trinh thi thanhhuyen, chu kim thinh, nguyen hai hue, nguyen thi ngoc mai, nguyen duc anh, nguyen xuan khiem, pham nang toan, ha van phu, nguyen ba dan, dao hong duong.
งานไม้ทำด้วยมือ : mành mành salon, h&p architects, volunteers
พื้นที่ที่ดิน : 85 ตร.ม.
วันที่สร้างเสร็จ : เดือนพฤศจิกายน ปี 2016
Website : http://www.designboom.com
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย