เชื่อว่าหลายๆคน โดยเฉพาะนักดื่มทั้งหลาย คงจะพอคุ้นเคยกับคำว่า “Pairing” (แพริ่ง) ซึ่งเป็นคำที่ใช้กับเครื่องดื่มประเภทไวน์ เมื่อนำมาจับคู่กับอาหารชนิดต่างๆ จะว่าไปแล้วอาหารบางอย่างก็เหมือนถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องทานคู่กับอะไรถึงจะอร่อยเลิศ เช่น แฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนช์ฟรายส์ ไข่ดาวกับเบคอน สปาเก็ตตี้กับขนมปังกระเทียม หรือถ้าบ้านเราก็ต้องไก่ย่างกับข้าวเหนียวเป็นต้น และเช่นเดียวกัน อาหารบางเมนูก็ควรจะทานควบคู่ไปกับเครื่องดื่มบางชนิดเท่านั้นความอร่อยถึงจะทวีคูณ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการจับคู่อาหารในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ “Beer Pairing” หรือการจับคู่อาหารกับการดื่มเบียร์นั่นเอง บางคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกสงสัยว่าเบียร์สามารถนำมาแพริ่งกับอาหารได้เหมือนกับไวน์ด้วยเหรอ แต่ขอบอกว่าอันที่จริงแล้วเบียร์แพริ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไรเลย เพราะการจับคู่เบียร์กับอาหารแต่ละชนิดนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวตะวันตกมาอย่างช้านาน โดยเฉพาะประเทศเบลเยียม หนึ่งในเจ้าแห่งการผลิตเบียร์ชื่อดังระดับโลกมากมาย
เบลเยียมถือเป็นประเทศที่มีเบียร์หลากหลายชนิดมากที่สุดในโลก แต่ละชนิดนั้นมีความน่าสนใจและมีประวัติความเป็นมาที่ควรค่าแก่การศึกษาทั้งนั้น ซึ่งหนึ่งในเบียร์จากประเทศเบลเยียมที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ก็คือ “Leffe” (เลฟฟ์) ปัจุจบันในบ้านเราอาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นเคยกันมากนัก แต่เราขอรับประกันว่าคอเบียร์ทุกคนควรหาโอกาสดื่มเบียร์ยี่ห้อนี้กันสักครั้ง เพราะทั้งอร่อย มีความหอมนุ่มลึกและมีมุมที่หาค้นหา จนคุณต้องติดใจอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ทาง Leffe กำลังมีแคมเปญใหม่ชื่อว่า “Leffe Explorer: Pursuit of Savour Life” ที่ต้องการแชร์ประสบการณ์การใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐานทั้ง 5 เพื่อค้นหาความหมายของความดื่มด่ำแห่งชีวิต ผ่านรูปแบบของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จากการดื่มกินที่คุณสามารถดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาดีๆ เช่นการจับคู่เบียร์กับอาหารประเภท Appetizer, Cheese Platter หรือ Cold Cut ต่างๆ เพื่อเสริมรสชาติของกันและกัน ทำให้เกิดช่วงเวลาที่คุณสามารถสัมผัสความสุนทรีย์ของการกินดื่มด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างดื่มด่ำ
สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยคุ้นกับเบียร์ยี่ห้อนี้ Leffe นั้นมีประวัติความเป็นมามาอย่างยาวนานเกือบๆ 800 ปี ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1240 กันเลยทีเดียว ในสมัยนั้น Leffe เป็นเบียร์ที่ brew โดยนักบวชที่โบสถ์ Notre-Dame de Leffe ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตัวโลโก้ของเบียร์จะมีรูป stained glass หรือกระจกสีๆที่พวกเราพบเห็นภายในโบสถ์ต่างๆอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นสัญลักณ์ของต้นกำเนิดของเบียร์ยี่ห้อนี้ ส่วนในบ้านเราได้มีการนำเข้าเบียร์สด Leffe อยู่สองตัวคือ Leffe Blonde (เลฟฟ์ บลอนด์) กับ Leffe Brown (เลฟฟ์ บราวน์) ซึ่งความแตกต่างของเบียร์สองตัวนี้อยู่ตรงที่ Leffe Blonde จะมีกลิ่นหอมของผลไม้จากวิธีการหมักมอลต์ รสชาติจะติดหวานนิดนึง และขมเล็กน้อย ซึ่งต่างจากเบียร์ lager ทั่วไปที่จะมีรสขมอย่างเดียว ส่วน Leffe Brown ที่มีสีเข้มนั้น เนื่องมาจากการคั่วมอลต์ น้ำตาล และคาราเมลผสมกัน รสชาติที่ได้จะหวานน้อยกว่า แต่จะเด่นในเรื่องของกลิ่น นอกจากนี้จุดเด่นอื่นๆของเบียร์ทั้งสองตัว ก็คือการนำมาแพริ่งกับอาหารนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็น Leffe Blonde จะเหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารประเภทที่หนักในเรื่องของรสชาติ เช่นอาหารที่มีความเผ็ด ความหวาน ความเปรี้ยว รวมถึงอาหารที่เด่นในเรื่องของกลิ่น เช่นชีสเป็นต้น ซึ่งพอทานคู่กับตัว Leffe Blonde พวกเราจะสัมผัสได้ถึงความหอม นุ่มละมุนลิ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วน Leffe Brown นั้นจะเพอร์เฟคต์มากเวลากินกับพวกเนื้อสัตว์ที่มีการหมักเครื่องเทศ ด้วยความที่เบียร์ตัวนี้มีรสชาติหวานน้อย เวลานำมาทานคู่กับอาหารประเภทนี้ เรื่องกลิ่นจะโดดเด่นมากเป็นพิเศษ อีกทั้งทานแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าเท็กซ์เจอร์ของเบียร์จะอุ่นในปาก พร้อมๆกับลมหายใจที่สูดออกมา เรียกได้ว่าคุณจะได้อรรถรสในการรับประทานอาหารอย่างดื่มด่ำจริงๆ
ในครั้งนี้เราเลือกมาจับคู่มื้ออร่อยที่ “Hyde & Seek Peek-a-Boo” ร้านอาหารน้องใหม่ในเครือ Hyde & Seek Gastro Bar ที่มีทั้งเมนูอาหารแสนอร่อยสไตล์ comfort food และเครื่องดื่มครบสูตรในที่เดียวกัน ผลงานของเชฟยอดฝีมือทางด้านอาหารและผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องดื่มอย่าง “เชฟ-เอียน กิตติชัย” เชฟมือทองชื่อดังระดับโลกของบ้านเรา และ “เชฟ-ปีเตอร์ พิทักษ์วงศ์” เชฟหนุ่มไฟแรงจากนิวยอร์ก ที่ผ่านงานร้านอาหารดังๆมามากมายจากทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีคุณ “นัท อาจหาญ” ผู้จัดการบริหารฝ่ายเครื่องดื่ม Hyde & Seek Gastro Bar ผู้สั่งสมประสบการณ์การเป็นนักผสมเครื่องดื่ม (mixologist) มาเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่การันตีฝีมือด้วยรางวัลมาแล้วมากมาย มาช่วยคัดสรรและครีเอทสูตรเครื่องดื่มอันพิเศษโดดเด่นให้กับทางร้านด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เริ่มเปิดร้านมาในปี 2010 “Hyde & Seek Gastro Bar” ก็อยู่ในระดับแถวหน้าของวงการร้านอาหาร ‘gastro and cocktail cuisine’ ของเมืองไทย ที่เน้นในเรื่องของค็อกเทลสูตรล้ำสมัย รวมถึงคลาสสิคค็อกเทลต่างๆ พร้อมกับการนำเสนออาหารสไตล์ comfort food แสนอร่อยแบบอเมริกันและอังกฤษ ในบรรยากาศที่เรียบหรู คลาสสิคและอบอุ่นแบบยูโรเปียน ทำให้ Hyde & Seek ที่ถึงแม้ตัวร้านจะซุกซ่อนอยู่ในซอยร่วมฤดี กลายเป็นแหล่งแฮงเอ๊าท์ยอดนิยมของคนกรุงเทพฯมาจนถึงปัจจุบัน ส่วน Hyde & Seek Peek-a-Boo ที่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2014 นั้น ได้ไอเดียในการตั้งชื่อเนื่องมาจากร้าน Hyde & Seek Gastro Bar ที่ตั้งอยู่ในซอยร่วมฤดีจะค่อนข้างลึกลับ Hyde & Seek Peek-a-Boo จึงใส่คอนเซ็ปต์ของคำว่า ‘peek-a-boo’ หรือ ‘จะเอ๋!’ ในภาษาไทย เพื่อสื่อถึงความเข้าถึงได้ง่าย และ ‘อยู่ในที่แจ้ง’ จากการซุกซ่อน ‘hyding’ ของสถานที่ดั้งเดิม สู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯอย่าง Groove, CentralWorld โดยมีความตั้งใจให้ร้านมีความทันสมัยและความเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ในบรรยากาศที่พวกเราสามารถมานั่งกินดื่มได้อย่างชิลล์ๆสบายๆได้ทุกวัน
สำหรับเมนูอาหารของทั้งสองร้านนี้จะมีความคล้ายๆกัน โดย Hyde & Seek Gastro Bar จะเน้นเสิร์ฟอาหารสไตล์ comfort food ของทั้งฝั่งยุโรป และอเมริกัน มีความเป็นวัฒนธรรมของผับฝั่งตะวันตก ที่จะมีการแพริ่งอาหารกับเครื่องดื่มอย่างค็อกเทล และเบียร์ ในขณะที่ Hyde & Seek Peek-a-Boo จะเพิ่มอาหารไทยลงไปในเมนูด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเข้าถึงอาหารได้ง่ายกว่า เป็น everyday eating and drinking place ที่ทุกคนสามารถมานั่งกินดื่มได้อย่างสบายๆและผ่อนคลายยามเย็น เริ่มกันเลยที่จานแรก “Sun Aged Pork Belly Chop with Turmeric and Masala” หมูแดดเดียวเนื้อสามชั้น ที่ผ่านการนำไปตากแดดเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้น หลังจากนั้นก็นำมารมควันนิดนึง ก่อนที่จะนำไปตุ๋นเป็นระยะเวลาหนึ่งวันเต็มให้ได้เท็กซ์เจอร์เนื้อนุ่มละลายในปาก ปิดท้ายด้วยการนำมาหมักกับเครื่องเทศแบบมุสลิม ซึ่งเชฟปีเตอร์บอกว่ารสชาติของขมิ้น และความมันของหมูแดดเดียวจะเข้ากันได้ดีมากๆกับความหวานของเบียร์ Leffe Brown ทานคู่กันแล้วจะสัมผัสได้ถึงความหอมเข้มข้นของรสอาหารและรสเบียร์ที่ผสมผสานกันได้อย่างเลิศรส จานนี้สามารถหาทานได้เฉพาะที่ Hyde & Seek Peek-a-Boo เท่านั้น
ต่อกันที่ “Fried Sweet Shrimp” เมนูกุ้งทอดเฉพาะที่สาขา Hyde & Seek Gastro Bar อาหารง่ายๆที่คนไทยชื่นชอบ ทำจากกุ้งตัวเล็กที่นำไปทอดทั้งเปลือกกับกระเทียมจากจังหวัดศรีสะเกษ แต่เนื่องจากตอนนี้หมดหน้าแล้ว เชฟปีเตอร์เลยใช้กระเทียมจากอุตรดิตถ์สั่งจากฟาร์ม ซึ่งกระเทียมจากสองจังหวัดนี้จะมีความเผ็ดร้อน เพราะปลูกในดินที่มีกำมะถัน พอนำมาทอดกับกุ้ง ก็จะได้กลิ่นหอมฉุนน่ารับประทาน แต่ถ้าจะให้อร่อยยิ่งกว่าจานนี้ต้องทานคู่กับซอสมะเขือเทศรมควัน เป็นจานที่โดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่จัดจ้าน ถูกลิ้นกับคนไทยเป็นที่สุด ยิ่งจิบเบียร์ Leffe Brown เย็นๆตามเข้าไปด้วยแล้ว รสชาติอันเข้มข้นของกระเทียม และความหวานของเนื้อกุ้งก็ยิ่งทวีคูณ ของอย่างนี้บอกได้คำเดียวว่าฟิน! อ้อ นอกจากนี้ยังมีแตงกว่าสดๆเย็นๆเอาไว้กินคู่กับทั้งสองเมนู เพื่อให้รสชาติของอาหารเบาลงมาหน่อย ทานแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้น เป็นแตงกว่าตำเกลือและน้ำมันงา เหมือนอาจาด แต่รสชาติจะออกญี่ปุ่นหน่อย
เมื่อได้ทำการแพริ่งเบียร์ Leffe คู่กับอาหารหลากรสของร้าน Hyde & Seek Peek-a-Boo และ ร้าน Hyde & Seek Gastro Bar แล้ว ต้องบอกว่าแมทช์กันได้อย่างเลิศรสจริงๆ รสหวานหน่อยๆและกลิ่นเบียร์อันโดดเด่นของเบียร์ตัว Leffe Brown ช่วยยกความหอม และรสชาติอันเข้มข้นของหมูแดดเดียว และกุ้งทอดให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มความชุ่มฉ่ำและอรรถรสในปาก ให้เรารู้สึก enjoy eating และดื่มด่ำในรสชาติของอาหารมากกว่าครั้งไหนๆ เรียกได้ว่าสามารถเปิดประสบการณ์การกินของเราไปอีกมิติหนึ่งเลย นี่แหละ เราเชื่อว่าคือเสน่ห์ของเบียร์แพริ่งที่คอดื่มทุกคนไม่ควรมองข้ามแม้แต่น้อย
Leffe Thailand
Website: http://www.leffe.com
Facebook: https://www.facebook.com/LeffeThailand
Hyde & Seek Gastro Bar
Website: http://www.hydeandseek.com/
Facebook: https://www.facebook.com/HydeSeek
Tel: (0) 2168 5152
Hyde & Seek Peek-a-Boo
Website: http://www.hydeandseek.com/
Facebook: https://www.facebook.com/Hyde-Seek-Peek-a-Boo/
Tel: (0) 2646 1099
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Kongkarn Sujirasinghakul
RECOMMENDED CONTENT
อย่าให้ความสุขที่สำคัญที่สุด... ผ่านไป หนังสั้นเล่าเรื่องของคนวัยทำงาน ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง ที่ใช้เวลาไปกับงาน ก็ 1 ใน 3 ของวัน และยังมีเรื่องราวมากมายที่เราต้องรับรู้ หรือต้องเป็นส่วนหนึ่งกับเรื่องราวต่างๆ สิ่งที่เหลือก็คือสิ่งสำคัญของชีวิตที่ช่วยปลอบประโลมใจเราให้มีพลังก่อนกลับบ้านแล้วตื่นเช้าเพื่อเริ่มวันใหม่