คําบอกเล่าของนักเขียน นักเดินทางและกราฟิกดีไซน์เนอร์ของ a book publishing เขาคนนี้ตัดสินใจเลือกที่เดินทางท่องเที่ยวคนเดียว เพราะความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตหลังจากที่ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาเริ่มเดินทางท่องเที่ยวด้วยความสงสัย อยากรู้อยากเห็น และต้องการหาคําตอบในเส้นทางสายนั้นๆ โดยเลือกที่จะบอกเล่าประสบการณ์ที่ประสบพบเจอผ่านตัวอักษร จาก จังหวัดเล็กๆ สถานที่แปลกๆ ในประเทศไทย มาวันนี้ “เวียดนาม” คือสถานที่ที่เขาเลือกมาเล่าประสบการณ์ลงใน “วรรณกรรมการเดินทางผสมไกด์บุ๊ค” ตลอด 14 วันของการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิตกับเขา เบนซ์ – บพิตร วิเศษน้อย ปัจจุบันนักเดินทาง และอาชีพล่าสุดของเขา ‘นักอยากเขียน’
มันเริ่มต้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนอยู่เรียนอยู่มหาลัย
เราเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ พอเข้ามากรุงเทพใหม่ๆ แล้ววันเสาร์วันอาทิตย์ไปเดินสวนจตุจักร ไปสยาม ไปพารากอน แล้วเราก็รู้สึกว่าชีวิตมันก็เดิมๆ ทําอะไรแบบเดิมๆ ตลอดเวลา เราคิดว่างั้นลองไปต่างจังหวัดดูไหม ด้วยความที่เราอยากหนีด้วยมั้ง และเราก็รุ้สึกว่า เราเบื่อกรุงเทพฯ และด้วยเวลาที่เราไปต่างจังหวัดมันได้เห็นอะไรมากกว่า มันรุ้สึกสบายใจมากกว่า เราก็เลยรู้สึกว่ามันต้องออกเดินทางท่องเที่ยวแล้วน่ะ
เราเริ่มเดินทางไปพร้อมๆ กับการเริ่มต้นทํางานใน a day
เราเริ่มต้นจากการเป็น a team junior โครงการ 5 เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบคือ ทํากราฟฟิก ตอนนั้นเราเรียนอยู่ประมาณปี 2 ปี 3 ได้ และ a team junior มันจะคล้ายๆกับเด็กฝึกงาน แต่ความพิเศษของมันคือ เราจะได้ทําหนังสือ a day เล่มจริงหนึ่งเล่ม พอจบโครงการ พี่ที่ a book เขาก็เห็นว่าเราสามารถทํากราฟฟิกได้ เขาเลยให้เราเข้ามาช่วยทํางานโดยเป็น freelance ก่อน และเราก็ทําตรงนี้ไปเรื่อยๆ จนเรียนจบ พ่ีเขาก็เลยชวนมาทําเป็นกราฟฟิกที่ a book แบบเต็มตัว โดยหน้าที่หลักๆของเราจะออกแบบหนังสือและทําในส่วนของ advertorial ที่มันเริ่มมาจากการที่เราได้ทํากราฟฟิกพวกโฆษณาในหนังสือ และบางทีมันต้องรอ text จากพวกพี่ๆ บางทีงานมันรีบ เราก็เลยลองเขียน text เองดีกว่า แล้วบังเอิญพี่เขาเห็นว่าเราก็ทําได้ พี่เขาก็เลยลองให้เราทํา ad ไปด้วยและก็เขียน text ไปด้วยพร้อมกัน จากตรงนี้มันก็เลยทําให้เราเริ่มมีโอกาสทํางานเขียน
ด้วยความที่เราฝันว่าอยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง และฝันก็เป็นจริงเรามีหนังสือเล่มแรกออกมาชื่อว่า
“ที่ชอบที่ชอบ (like love place)”
มันเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวที่เราไปเที่ยวและเราก็ชอบเอามาเล่าไว้ในบล็อกของเรา พอมีคนมาอ่านแล้วเขาก็แบบ เอ๊ย! เล่าสนุกดี เขาก็บอกว่า “ถ้าไปเที่ยวแล้วกลับมาเล่าอีกนะ” จนมันมีคนจํานวนหนึ่งติดตามผลงานของเรา อาจจะเป็น เพราะเราเที่ยวแปลกด้วยมั้ง คือเวลาเราไปเที่ยว เราจะชอบตั้ง quest ให้ตัวเอง แบบวันนี้เราจะเที่ยวด้วยรถไฟนะ หรือวันนี้เราจะเที่ยวจังหวัดแปลกๆ คือเราเคยมีทริปนึง ที่เรารู้สึกว่ามันตลกดีคือ มันเริ่มจากเราไปดู exhibition ที่พิพิธภัณฑ์ฯพระนคร จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะทราวดี ก็เลยสงสัยว่าทําไมโบราณวัตถุส่วนใหญ่มาจาก เมืองศรีมโหสถ ที่จังหวัดปราจีนบุรี เราก็แบบตั้งคําถามว่า “เมืองนี้มันเป็นยังไงวะ” เราก็อยากรู้อยากเห็นด้วยนะ ก็เลยตัดสินใจนั่งรถไฟไปปราจีนบุรีคนเดียว พอไปถึงเราก็เพิ่งรู้ว่าเมืองนี้มันอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กว่ากิโลฯ เราเลยเหมารถสามล้อไป ก่อนไปเราคิดว่ามันจะเหมือนแบบเมืองโบราณแบบสุโขทัย อยุธยาน่ะ มีบ้านคนแล้วแบบมีโบราณสถานอยู่ตรงกลาง แต่ความจริงแล้วมันเป็นเมืองโบราณที่ร้างอยู่กลางป่า กลางทุ่งนา ความรู้สึกเหมือนเข้าป่าลุยอาณาจักรอินคา เราก็กลัว แล้วที่แห่งนี้ไม่มีคนเข้าไปเลย เหมือนพอเขามาขุดค้นเสร็จก็ปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้น ป้ายชื่อข้อมูล หญ้านี่ขึ้นคลุมหมดแล้ว
จังหวัดที่เราไปแล้วประทับใจคือ จังหวัดระนอง
คือระนองเป็นจังหวัดที่ต้องตั้งใจจะไป เพราะว่าระนองมันไม่ใช่เมืองทางผ่าน ถ้าลงใต้เราจะไม่มีทางผ่านระนอง แล้วปัญหาของระนองคือ มันเป็นเมืองหุบเขา คือจะคล้ายๆ แม่ฮ่องสอน คือต้องข้ามภูเขาหนึ่งลูกก่อน ถึงจะเจอเมืองนี้ และด้วยคําจำกัดความของจังหวัดนี้คือ ฝนแปดแดดสี่ หน้าฝนจะมีแปดเดือน และจะมีหน้าร้อนสี่เดือน หรืออย่างบางวัน ตอนเช้านี่แบบ แดดจ้ามากๆ แต่พอตอนบ่ายอยู่ดีดีฝนก็ตก ยังกับลอนดอนแหนะ ซึ่งเราคิดว่าเมืองนี้มันบ้าดีน่ะ และเมืองนี้จะเป็นเมืองสองภาษา นอกจากภาษาไทยแล้วยังมีภาษาพม่าเหมือนเราอยู่เมืองนอกเลยนะ ก็แปลกดี
“เราชอบเดินทางโดยรถไฟ เพราะมันช้าดี มีเวลามองข้างทางมากขึ้น”
“สะพานในฝันที่อยากจะลงไปเดินเล่นแถวนั้น สะพานทาชมภู ลำพูน”
“รางรถไฟหน้าสถานีรถไฟห้างฉัตร ตัวสถานีได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น
จากสมาคมสถาปนิกสยามร่วมกับสถานีรถไฟอีก 4 สถานีในจังหวัดลำปาง
เรื่องเล่าของนายสถานีทำเราร้องไห้ เพราะเค้าบอกว่าอีกไม่นานสถานีนี้จะหายไปจากแผนที่แล้ว”
“อีกฝั่งของกว๊านพะเยาในตอนเช้า ไม่รู้ว่าเป็นหมอกหรือเป็นควัน”
นี่มันเริ่มมาจากเราไปเที่ยวแล้วเราลองเขียนต้นฉบับตัวแรกสุด คือต้นฉบับเกี่ยวกับ เพชรบุรี แล้วพี่บิ๊ก บก. เขาลองอ่านดูแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันโอเคน่าอ่านแต่ปัญหาคือ มันขายไม่ได้ เพราะต้นฉบับมันจะดีอย่างเดียวไม่ได้ต้องขายได้ด้วยในตลาดหนังสือ บ้านเรามันจะมีหนังสือประเภทเที่ยวๆในประเทศเยอะ แล้วเพชรบุรี มันมีอะไรมันน่าจะขายได้จริงหรอ เขาก็เลยรู้สึกว่ามันจะขายได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อมันมีแบรนด์ แบรนด์คือ ตัวนักเขียนเอง ต้องเป็นที่คนรู้จักคนถึงอยากอ่าน
เขานึกถึงกรณีศึกษาอย่างของ พี่นิ้วกลม พี่ก้อง ทรงกลด ไม่ว่าเขาจะออกท่องเที่ยวอะไรก็ตามมันขายได้อ่ะ เพราะเขามีแบรนด์ แต่เราเป็นแค่นักเขียนหน้าใหม่ หนังสือมันควรที่จะมีแก่นกว่านี้ แล้วเขาก็เลยบอกว่าลองไปต่างประเทศซักประเทศไหม ที่คนอยากไปและอยากอ่านเราก็เลยรู้สึกว่าตอนนั้นคนเริ่มก็ไปเที่ยว เวียดนามแต่ยังไม่มีหนังสือในท้องตลาดที่เป็นคนไทยเขียนเลย และด้วยความที่ว่าในปีนี้แพลน a book จะทําวรรณกรรมการเดินทางบวกไกด์บุ๊คด้วย ทุกอย่างเลยลงตัว
เสน่ห์ของวรรณกรรมท่องเที่ยว
คือมันจะไม่เป็นหนังสือไกด์บุ๊คที่จัดมาก หรือมันไม่แนะนําอะไรจนเกินควร และเสน่ห์ของไกด์บุ๊คที่เราชอบคือ มันเหมือนชี้ทางแต่ถามว่าเราจําเป็นต้องเชื่อไหมเราตอบเลยไม่จําเป็นต้องเชื่อน่ะ นั่นคือเหตุผลที่เราบอกกับทุกคนว่า “เมื่อไหร่ที่เราอ่านหนังสือ หรือไกด์บุ๊คก็ตาม อย่าเพิ่งไปเชื่อน่ะ ไปเที่ยวให้เห็นก่อน เห็นของจริงก่อน”
ก่อนออกเดินทางหาข้อมูลจาก
Lonely Planet อย่างเดียวเลย ถ้าจะไปต่างประเทศซื้อเล่มนี้เล่มเดียวก็ไปได้ เพราะเราค่อนข้างมั่นใจกับ Lonely planet มาก มันค่อนข้าง cover ทั้งหมด และนักท่องเที่ยวส่วนมากก็เชื่อนะ แต่ในบางข้อมูลพอเราไปเที่ยวจริง ก็ไม่มีหรือบางทีในเขาพูดผิดก็มีบ้าง ลองเข้าไปดูในเวบ มันจะมี section นึงที่ชื่อว่า thorn tree คือพวกที่เขาไปเที่ยวมาแล้วจะมารีวิว แล้วเขาจะเอาข้อมูลตรงนี้มาประมวลด้วยแล้วเหมือนเขาก็จะเอามาใส่ในไกด์บุ๊ค และจะอัพเดทไปเรื่อยๆ และเราจะหาข้อมูลก่อนเพื่อความแน่นอน แต่เราจะไม่หาข้อมูลแบบ รีวิวว่าที่นั่นที่นี่ไม่ดีเลย เรารู้สึกว่า ก็ถ้ามันไม่ดีก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา แค่อยากไปเที่ยวไม่ว่ามันจะออกมาดี มาแย่แค่ไหน คุ้มค่าที่สุดแล้ว ตั้งแต่แค่ก้าวเท้าออกจากบ้านไปแล้ว มันโคตรสนุกแล้ว แล้วเราก็จะมีรูปแบบการท่องเที่ยวของตัวเองอีกแบบหนึ่ง
Ian Wright ไอดอลในการเดินทาง
พิธีกร lonely planet คือเราอยากเป็นแบบเขามากเลยนะ อยากเป็นพิธีกรท่องเที่ยว และทำอะไรก็ได้ คือคนคนนี้เขาทำอะไรที่สุดๆมาก มีตอนนึงเขาไปแอนตาร์กติกา แล้วแบบมันมีแมวน้ำนอนอยู่แล้วเขาไปนอนข้างแมวนำ้ แบบเอาหน้าแนบพื้นแบบแมวน้ำ แล้วเขาก็จัดรายการแบบนั้น คือแบบเพี๊ยนมาก และเขาเป็นพิธีกรคนแรกของ lonely planet เลย ถ้าพูดถึงไอดอลในด้านการเขียน คงจะเหมือนคนทั่วไปแหละที่มี พี่นิ้วกลม พี่ก้อง เป็นแบบอย่าง
เราไปทั้งหมด 14 วัน เราไปช่วงเดือนเมษายนอากาศค่อนข้างร้อน แต่ถ้าช่วงที่ดีสุดของการเที่ยวเวียดนามคือ พฤศจิกายน – ธันวาคม อากาศจะดี ครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยไม่ขึ้นเครื่องบิน คืออยากเดินทางหลายๆ รูปแบบในทริปเดียว รอบแรกนั่งรถไฟจากหัวลําโพงไปหนองคาย แล้วก็ต่อรถไฟข้ามโขง มันเป็นรถไฟเปิดใหม่จากหนองคายไปท่านาแล้งที่ประเทศลาว รู้สึกว่ามันแค่ 10 กิโลเองน่ะ 20 บาท พอข้ามไปปุ๊บ ไปซื้อตั๋วจากเวียงจันทร์ไปฮานอยประมาณ 24 ชั่วโมง
เราได้ข้อมูลมาจากรายการ Roaming ของพี่เรย์ แมคโดนัล เพราะจากไทยไปเวียดนามมันไม่มีทางรถไฟที่เชื่อมกันเขาก็เลย
ต้องนั่งไปเวียงจันทน์ก่อน จําได้เลยนะว่า ออกจากเวียงจันทน์ประมาณทุ่มครึ่งผ่าน ด่านน้ําพาว (Nam Phao) / Cau Treo แล้วก็ มาเข้าที่ เมืองวินห์ (Vinh) ถึงฮานอยทุ่มครึ่ง ในอีกวันหนึ่ง 24 ชั่วโมงบนรถไฟ แล้วพอถึงฮานอยเราก็วางแผนเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปเลย คือจากเหนือลงใต้ แล้วก็ค่อยๆไล่ยาวมาเรื่อยๆจนถึงโฮจิมินห์ซิตี้ พวก backpacker ก็จะวางแผน
แบบนี้เหมือนกัน ไม่เหนือลงใต้ ก็ใต้ขึ้นเหนือ
“เดินข้ามประเทศจากด่าน Lao Bao (ลาวบาว) ของลาว
เข้าสู่ด่าน Cao Treo (เกาตรึ) ของเวียดนาม หมอกหนาจนเหน็บหนาว”
“แม่ค้าลอยน้ำใน Halong Bay”
เมืองแรกที่ได้ใกล้ชิดคือ ฮาลองเบย์ (Halong Bay)
$39 ทัวร์นี้มันจะรวมรถโดยสาร รวมค่าเรือสําเภาที่ล่องในอ่าวฮาลอง รวมค่าข้าวและก็มีไกด์ให้เราด้วย เราไม่ต้องไปวุ่นวายเรื่องซื้อตั๋วมากมาย ถ้าถามว่าสามารถไปเองได้ไหม ก็ไปได้นะ แต่เราคิดว่าไหนๆ ก็มาเที่ยวในประเทศที่มัน mass แล้ว ก็ลองเที่ยวแบบ mass ดู เพราะว่าในความจริงแล้วเป้าหมายของเราไม่ได้อยากไปฮาลองเบย์เลยนะ เพราะเรารู้สึกว่ามันก็เหมือนเขาศก เกาะพีพี คล้ายๆกัน แต่พอเราไปถึง เอ๊ย! มันไม่เหมือนกันเลยน่ะ เพราะอะไรหลายๆอย่างทําให้มันต่าง เช่น มีหมู่บ้านชาวประมงกลางน้ํา มีเรือสําเภา ได้กินข้าวกลางทะเล ดูวิถีชีวิต พายเรือคายักเข้าถ้ํา อะไรประมาณนี้
การเดินทางไป ซาปา จะต้องนั่งรถไฟจากฮานอย ไปลงที่ เลาก๋าย (Lao Cai)
เป็นเมืองที่ทางรถไฟที่ใกล้ที่สุดแล้ว เพราะซาปาเป็นเมืองที่ไม่มีรถไฟไปถึง นั่งรถไฟไปซาปา มันจะเป็นรถนอนซึ่งรถไฟเขาดีกว่าบ้านเรามาก มันจะแบ่งเป็นห้องๆ ในแต่ละห้องจะมีเตียง 3 ชั้น อย่างตอนที่เราไปเราจะอยู่ชั้นบนสุด จะมีฝรั่งนอนอยู่ข้างล่าง และอีก 4 คนจะเป็นคนจีน คือรถไฟขบวนนี้มันสามารถต่อไปจีนได้ แต่เราคุยกับพวกคนจีนไม่รุ้เรื่องนะ แต่เหมือนเขาจะช่วยๆ นะ เพราะมันจะมีปัญหาตรงที่ว่า เมื่อก่อนนอนต้องล็อกประตูห้อง เพราะมันจะมีพวกขโมยสัมภาระ แล้วอันตรายมากอย่างถ้าใครจะไปเข้าห้องน้ํา ต้องปลุกใครสักคนมาล็อกประตูให้ แล้วค่อยมาเคาะประตูเรียกมันลําบาก
“สุสานจักรพรรดิ Tu Duc (ตือดึ๊ก) สุสานที่สร้างอย่างฟุ่มเฟือยที่สุดในบรรดาสุสานราชวงศ์ทั้งหมด
ตรงนี้เป็นประตูทางเข้าสุสานด้านข้างที่ไม่มีใครใช้ ขอตั้งชื่อเอาเองว่า ‘ประตูภูผา’ “
เลาก๋ายเป็นเหมือนเมืองผ่านเพื่อต่อรถไปซาปาได้เลย
$119 เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะนอนโรงแรมหรือโฮมสเตย์อย่างโฮมสเตย์เราเดินไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องกลับมาเข้าเมือง ซาปาจะเป็นหมู่บ้านชาวเขา เราจะเดินไปตามหมู่บ้านต่างๆ และเราจะได้ไปนอนกับชาวบ้าน ซาปามันเป็นเมืองที่อากาศมันหนาว โดยที่เราไม่คิดเลยว่ามันจะหนาวขนาดนั้น และมันเป็นเมืองเดียวในเวียดนามที่มีหิมะตกนะ คือเราเคยเห็นฝรั่งคนนึงถ่ายรูปที่หน้าร้านหนังสือ Sapa Bookstore ในวันที่หิมะตก ร้านนี้เขาจะเอาพวกวรรณกรรมม้งมาขาย เป็นหนังสือทํามือของเวียดนาม แต่วันที่เราไปร้านหนังสือร้านนั้นมันดันปิด น่าเสียดายมาก
ไกด์เราชื่อเมย์ อายุ 14
เป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวเองเป็นชาวท้องถิ่น พวกนี้เขาเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเป็นไกด์เลยน่ะ เหมือนคุยกันไปเรื่อยๆ และเขาพาเราก็เดินไปถึงหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่า cat cat (กั๊ตกั๊ต) แลัวเราก็ถามเขาว่าบ้านอยู่ไหน เมย์ก็ชี้ไปบนยอดเขาคือเห็นหลังคาบ้าน เราก็ถามเขาว่า “มันอยู่ในเส้นทางหรือเปล่า” เมย์ก็บอกว่า “ไม่ใช่มันอยู่นอกเส้นทาง” เราก็เลยบอกว่า “แวะไปได้ไหมอยากเห็น” และปกติบ้านแบบชาวเขาจะไม่ค่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ้าไม่ใช่โฮมสเตย์ แต่เหมือนเราคุยกับเขาจนสนิทกันแล้วเลยเหมือนเพื่อนไปเที่ยวบ้านเพื่อน แล้วเดินไปทางเข้าบ้านแบบว่าน่ารักมาก ปลูกดอกไม้ไปตลอดทางแล้วหมอกก็โลมเลียเราตลอดเวลา มันจะคล้ายเชียงใหม่แม่ฮ่องสอนบ้านเรา จากนั้นเมย์ก็พาเข้าไปในบ้าน ที่พิเศษคือบ้านหลังนี้อยู่กันทั้งหมด 11 คนเลยนะ แต่มีห้องนอน สองฝั่งคือปู่ ย่า ตา ยาย จะนอนด้วยกัน เป็นครอบครัวที่รักกันมาก เขาชวนเรากินข้าวตลอดเป็นโมเมนต์ประทับใจมาก
“หมู่บ้าน Cat Cat (กั๊ตกั๊ต) หนึ่งในหมู่บ้านชาวเขาในแถบ Sapa (ซาปา)”
“Binh Than Market (บิ่นถันมาร์เก็ต) ตลาดที่ใหญ่ที่สุดใน Hochiminh City”
ความไม่เหมือนกันระหว่างฮานอยกับโฮจิมินท์
ทุกคนจะคิดว่าโฮจิมินท์กับฮานอยจะอยู่ใกล้กันแต่ความจริงแล้ว เวียดนามเหมือนมีเมืองหลวงสองเมือง คือ ฮานอย จะเหมือนเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ และโฮจิมินห์ จะเป็นเหมือนเมืองหลวงของเวียดนามใต้ แต่เมืองหลวงจริงคือ
ฮานอย: เรารู้สึกว่าคาแรกเตอร์แต่ละเมืองต่างมากเลยคือ ฮานอยจะเป็นเมืองเก่าๆ ด้วยความที่มันเป็นเหมืองหลวงเก่ามาเกือบ 1000 ปีแล้วด้วย ฮานอยจะมีย่านที่ชื่อว่า old quarter มันจะเป็นย่านเก่าคล้ายๆ ย่านราชดําเนิน หรือแถวๆราชวงค์ บ้านเรา เราว่าเมืองนี้มันสุนทรีย์ดีน่ะ ที่สําคัญมากคือค่าครองชีพของฮานอยมันแพงและตึกมันจะกว้างไม่ได้ มันจะสูงได้อย่างเดียว และโรงแรมที่ไปนอนมี 9 ชั้นแต่มีแค่คูหาเดียว และเขาจะเรียกตึกนี้ว่าเป็น tube house นี่คือ คาแรกเตอร์ที่เด่นมากของฮานอย และที่ฮานอยมันจะมีสุสานโฮจิมินห์ ที่มีคนต่อแถวยาวมากเพื่อมาเคารพศพโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นศพโฮจิมินห์ที่ถูกสตาฟเอาไว้แล้วอยู่ในโลงแก้ว (โฮจิมินห์คือผู้นําในการปลดปล่อยเวียดนาม คือเวียดนามจะมีสงครามหลักๆอยู่ 3 ช่วง อันแรกคือสงครามฝรั่งเศส ตอนที่ฝรั่งเศสมาล่าอาณานิคม ช่วงสองคือสงครามเวียดนามกับอเมริกา และช่วงที่ 3 อันน้ีน่าจะนานที่สุดถึง 8 ปี แต่อันนี้เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับใต้ โดยโฮจิมินห์เข้ามา เพื่อรวมชาติ คือทุกบ้านต้องมีรูปโฮจิมินห์)
โฮจิมินท์: ก่อนที่จะเข้าโฮจิมินท์เราไม่ชอบเลยคือ มันเหมือนเราขับรถเข้า นิคมอุตสาหกรรมมาพตาพุดเลย จะมีแต่ฝุ่น และทุกอย่างจะเจริญหมดแล้ว และเราว่าโฮจิมินท์เหมาะสําหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบช๊อปปิ้ง มันจะมีถนนเส้นนึงที่คล้ายๆถนน ฌ็องเซลิเซ่ (Champs-Élysées) ในฝรั่งเศส คือทั้งเส้นจะขายแต่แบรนด์เนม (ถูกๆ ของปลอม) และคนไทยจะมาอยู่ที่ถนนเส้นนี้เยอะมาก ตลกตรงที่เราเห็นคนไทยนะ แต่ไม่กล้าทัก เพราะเขิน เค้ามาช้อป แต่เรามาเขียนหนังสือ คนละอารมณ์กันซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ดีมากของเราคือ เราตัดสินใจนอนที่นี่แค่คืนเดียว แล้วกลับเลย เพราะเรารู้สึกว่า โฮจิมินท์ไม่มีอะไรเลยแต่ฮานอยมีเยอะกว่ามาก นั่นคือความต่าง!
ความสนุกของการไปเที่ยวคนเดียวคือ “ความกระทันหันทันที”
เราเรียกมันอย่างนี้ เพราะว่ามันคือนิสัยที่เราว่านักท่องเที่ยวที่เที่ยวคนเดียวมักจะมีกันทุกคน คืออยากทําอะไรแล้วทําเลย อยากไปไหนก็ไปเลย เราว่ามันเป็นความท้าทาย อย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวนะ ควรลองไปเที่ยวคนเดียวสักครั้งในชีวิต และสําคัญที่สุดคือ ต้องกล้า จุดหนึ่งที่เราชอบมากๆ คือการได้มีเวลาทําความรู้จักตัวเองตอนไปเวียดนามเราชอบตัวเองตอนอยู่ที่ เว้ (Hue) มาก คือตอนกลางคืน ริมแม่น้ําหอมจะมีคนมาเดินเล่น มาพักผ่อนกันริมแม่น้ํา แล้วเราก็เลยเดินวนไปวนมาสามสี่รอบได้มั้ง ระหว่างที่เดินก็ได้มีเวลาคิดถึงตัวเองว่าเราได้อะไรบ้างจากทริปนี้ และหลังจากนี้เราต้องการอะไร โอโห้ มันตอบเราได้หมดเลย เพราะมันมีเวลาและพื้นที่ให้คิดไง
“โดนหลอก” ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบนะ
เราเชื่อว่าทุกประเทศมันก็มี Scam อะไรพวกนี้อยู่ ขึ้นอยู่ว่าจะเจอรึเปล่าถ้าเจอแล้วเราจะไม่รู้สึกแย่นะ อาจจะเป็นตอนที่โดนหลอกใหม่ๆ แต่พอนานๆ เข้า เราจะมองว่า โหย ดีว่ะ โดนหลอกด้วยมีเรื่องเอาไปเล่าละ เป็นคนชอบเล่าไง ถ้ามีเรื่องแบบเล่าให้คนอื่นฟัง แล้วเค้าพูดว่า “เฮ้ย จริงเด่ะ” หรือประมาณนี้ เราจะภูมิใจมาก เป็นเรื่องเสียนิสัยที่เราดีใจมากที่มีนิสัยนี้ติดตัวมา (หัวเราะ)
เรารู้สึกว่าเวลาแค่ 14 วันมันน้อยไปสําหรับการเดินทางครั้งนี้
แต่ด้วยความที่เรามีเวลาน้อยด้วยแหละ แต่เราต้องวางแผนเหนื่อยเหมือนกัน คือเรานอนโรงแรมน้อยมาก ต้องอาศัยนอนบนรถเอา มันจะมีรถนอนระหว่างเมือง แล้วระยะทางระหว่างเมืองมันค่อนข้างไกล อย่างฮานอย มาเว้ มาฮอยอัน มันแบบเป็น 1000 กิโล เราก็จะ save เวลา save ค่าที่พักด้วย รวมแล้วเดินทางทริปนี้ใช้เงินทั้งหมด ประมาณ 20,000 กว่าบาท
* เวลาจ่ายค่าโรงแรม ค่าทัวร์ อะไรพวกนี้ถ้าจ่ายเป็น US$ จะดีที่สุด เพราะค่าเงินมันจะคงที่มากกว่า แต่ถ้าจ่ายเป็นเงิน ดอง(dong) ค่าเงินมันจะสูงมาก สมมติ 1000 ดอง จะเท่ากับ 1.50 บาท อย่างกินข้าวมื้อนึง ถ้าเป็นเฝอนี่จะราคาประมาณ 15-20 บาท = 7,000 ดอง
* และ ATM บ้านเขาคือ กดได้แค่ประมาณ 2,000,000 ดอง ประมาณ 3,000 บาทต่อครั้ง แล้วเขาจะชาร์จเราประมาณ 30,000 ดองต่อครั้ง ประมาณ 45 บาท แต่เราต้องกดประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อให้พอทั้งทริป เราก็เสียค่าชาร์จหลายร้อยอยู่
เราภูมิใจกับโปรเจคนี้มาก เห่อมันมาก
เพราะมันคือครั้งแรก และมันเป็นก้าวที่ใหญ่มาก ดังนั้นเมื่อก้าวมันใหญ่ ภาระมันก็ใหญ่ตาม โคตรหนักใจเลย แต่ก็พยายามหาอะไรๆ มาใส่หนังสือให้มากที่สุด เท่าที่จะทําให้มันกลมกล่อมได้ คือเป็นแบบพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ล้นชามจนกินไม่หมดกระเดือกต่อไม่ลง ถามว่าทําไมสํานักพิมพ์ถึงไว้ใจเรามากขนาดนั้น อาจเป็นเพราะโปรเจคนี้เราตั้งใจกับมันมาก มากจนคิดกันล่วงหน้าเป็นปี
ทุกครั้งที่เขียน เราจะบอกกับทุกคนว่า
เวลาเราไปเที่ยวเราไม่ได้แค่ไปทําความรู้จัก แต่เราจะไปทําความรู้สึกด้วย มันไม่ใช่แค่เราเห็นอะไร แต่เมื่อมันมองลึกลงไปแล้วเราเห็นอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า ทุกๆครั้งที่เราจะเดินทาง เราเห็นมันยังไงก่อนไปแล้วค่อยไปหาคําตอบตอนไปถึงที่แห่งนั้นๆ
เราอยากให้คนอ่านหนังสือเรา
แล้วรู้สึกอยากไปเที่ยวในอีกรูปแบบนึง แต่เราไม่ได้หมายความว่าการเที่ยวที่แต่ละคนทําอยู่มันไม่ดีน่ะ แต่เราแค่ให้เขาลองเที่ยวแบบเราดูบ้างถ้าชอบ ในหนังสือเราเน้นพูดในเรื่องที่หนังสือข้อมูลท่องเที่ยวไม่ได้บอกไว้ คือถามว่าไปเที่ยวแล้วเจออะไรในหนังสือท่องเที่ยวก็บอก แต่เราจะบอกถึงข้อมูลเชิงลึกด้วย พูดถึงประเด็นที่แบบคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเวียดนาม ตอนนี้ที่กําหนดขายหนังสือไว้จริงๆคือ ตุลาคมนี้ ตอนนี้อยู่ในขั้นเกลา เขียนเกือบเสร็จแล้วแหละ เหมือนอัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมให้หมด ก่อนที่จะส่งให้บก.
โอกาสที่เราทํางานกับ a day
ที่ได้มากที่สุดคือเรื่องของ connection คือเราทํางานตรงนี้เราได้รู้จักคนเยอะมาก และส่วนใหญ่คนที่เรารุ้จักเป็นแบบไอดอลเราทั้งนั้น อย่างก่อนไปเวียดนามเราได้ไปคุยกับนักเขียน คือพี่เต้ย ใบพัด ที่เขียน การลาออกครั้งสุดท้าย เราปรึกษาเขาเกี่ยวกับเรื่องงานเขียนก่อนที่จะไปเวียดนาม ซึ่งเราได้อะไรมาเยอะมาก และเราก็บอกกับเขาว่าถ้าผมเขียนเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ช่วยเขียนคํานิยมให้ด้วยนะ การที่เรารู้จักคนเยอะๆ ในขณะเดียวกัน เหมือนคนอื่นก็จะมองแบบ คนคนนี้ wanna be หรือเปล่า เพราะเราก็เคยคิดเองด้วยแหละว่าเราทําอย่างงี้มันมากไปป่าวว่ะ หรืออย่างการที่เราทํางานกับ a book / a day แล้วคนข้างนอกเริ่มรุ้จักเรามากขึ้นด้วยการที่เห็นเราทําอะไรแบบนี้ แล้วเขาแบบ เอ๊ย! พี่เจ๋งหว่ะ, ปลื้มหว่ะ! เหมือนเขาติดตามหนังสือเรา บล๊อคเรา หรือมีโครงการอะไรแบบนี้เขาก็จะติดตาม
คือไม่ใช่แค่ฝันแต่ต้องพยายามทําให้มันเป็นจริง
มันบอกไม่ได้หรอกว่ายากหรือไม่ยาก มันต้องเจอ และด้วยที่เราโชคดีด้วย ตรงที่ว่าหนึ่งเรามาถูกโอกาส ถูกจังหวะ รู้สึกว่าชีวิตเรามันพอดีกับจังหวะมาก ถ้าถามว่า ถ้าเราไม่ส่งต้นฉบับอันใหม่ แล้วเราจะได้ทําหนังสืออันนี้ไหม เราก็เชื่อเลยว่าไม่ คือแบบมันอยู่ที่ตัวเราด้วย โอกาสด้วย ถ้ายังไม่มีโอกาสมันก็ยังไม่ได้ ส่วนมากคนจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่โชคช่วยหรือเปล่า เราก็เชื่อว่าโชคมันก็ช่วยได้ส่วนหนึ่งน่ะ แต่ถามว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดที่เราต้องมีมากที่สุดคือเรื่องของความพยายาม คือถ้าไม่พยายามแล้วฝันจะเป็นจริงหรือเปล่าว่ะ ถ้าพูดเหมือนโฆษณาก็ได้น่ะว่า “ถ้าไม่ลงมือทําแล้วฝันจะเป็นจริงได้ยังไง”
และจุดหมายครั้งต่อไปของเราน่าจะเป็นแถบๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่แหละ
ตั้งใจจะทําให้มันเป็นซีรีส์ แต่ยุโรป แอฟริกา และเอเชียอื่นๆ ก็ใช่ว่าไม่อยากไป ที่เรามองไว้ค่อนข้างชัวร์เพราะเริ่มเก็บข้อมูลแล้วคือ “พม่า” เราว่าช่วงนี้พม่ากําลังน่าไปมาก เพราะเขากําลังพยายามเปิดประเทศ ทุกอย่าง ดูกําลังไปได้ดี พม่าขึ้นชื่อเรื่องความบริสุทธิ์มาก คงเพราะประเทศที่ถูกปิดด้วยระบอบการปกครองแบบเผด็จการทหารมานาน อีกอย่างที่อยากไปพม่าเพราะอยากพิสูจน์ให้คนอื่นๆ รู้ด้วยว่าพม่าก็ไปคนเดียวได้นะ แม้ว่ามันแสนจะไม่ปลอดภัยก็ตามที ©
27 มิ.ย.-1 ก.ค. 2555 ในงาน “a book fair 2012”
เรามี TRIPPER หนังสือเล่มนี้วางขายอยู่ เป็นโปรเจ็คที่รวมนักเขียนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่ามาทำโปรเจคหนังสือทำมือเล่มเล็กน่ะของเรา มีทั้งของ a day และมีนักเขียนรับเชิญอย่าง พี่โหน่ง วงศ์ทนง, พี่จิก ประภาส, พี่จุ้ย ศุบุญเลี้ยง เป็นต้น TRIPPER เป็นหนังสือเชิงสารคดี เราพูดถึง 3 จังหวัดที่เราประทับใจตลอดการเที่ยวในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาก็จะมี ลพบุรี / ระนอง / สกลนคร, นครพนม ทำออกมาขายชิมลาง เหมือนอุ่นเครื่องก่อนหนังสือจริงจะออกมากกว่า ราคา 65 บาท ขายเฉพาะในงาน a book Fair 2012 ในจำนวนจำกัดน่ะ หมดแล้วหมดเลยนะ
ลองติดตามผลงานบอกเล่าการเดินทางของเขาได้ที่ :
http://www.behance.net/hlblb/,
http://www.facebook.com/hlblb/,
http://www.twitter.com/hlblb/,
instagram: @hlblb
RECOMMENDED CONTENT
ยูนิโคล่ แบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลกจากญี่ปุ่น ตอกย้ำปรัชญา LifeWear ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายคุณภาพดีที่เหมาะกับทุกสไตล์ ด้วยการเปิดตัวโฆษณาทางโทรทัศน์ชุดใหม่ UNIQLO SMART ANKLE PANTS