“ทุกๆคนมีความฝันแหละ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำฝันให้เป็นจริง
ถ้าเราไม่เริ่มทำจากตัวเอง ก็ไม่มีใครมาทำให้เราหรอกอย่าอ้างโน่นอ้างนี่
ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเรา” – โอ๊ต ชัยสิทธิ์
Everyone has a dream but not so many can catch their dream.
If we don’t start to do something, nobody will do for us,
everything depends on ourselves. – Oat Chaiyasith
จากเด็กคนนึงที่มีฝันว่าอยากจะเป็นช่างภาพระดับโลกให้ได้ มาวันนี้ฝันของชายคนนี้กำลังจะเป็นจริง การก้าวข้ามอุปสรรคและเดินหน้าสู่ความสำเร็จ ที่เขาบอกว่ามันยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกร้อย อีกพันก้าวที่เข้ายังต้องเดินต่อไป หนทางกว่าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ เขาเริ่มต้นและเดินทางอย่างไร ความลำบาก อนาคตที่เขาวาดไว้จะเป็นแบบไหนลองติดตามได้กับการสนทนาข้ามทวีปของช่างภาพสายเลือดไทยที่ไปไกลถึงอังกฤษ โอ๊ต ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี
From a little boy who had dreamt to be the world famous photographer. Today his dream is coming true. he said it’s just the beginning for his path of success. The conversation across the continent from UK with the Thai photographer will show his beginning and the journey of Oat – Chaiyasith Joonjurdee.
มันเริ่มจากฝันแรกตั้งแต่เรียนประถมที่เราอยากเป็นสถาปนิก
เราชอบดูพวกโมเดลบ้านมาก นึกแล้วก็ตลกดี ชอบถึงขนาดเก็บกล่องขนมมาทำโมเดล พอตอน ม.ปลายเราก็เลือกเรียนสาย วิทย์-ศิลป์ เพื่อที่จะได้สอบเข้าสถาปัตย์ และเราเป็นคนเดียวในห้องที่เลือกเรียนและต้องเข้าไปเรียนในห้องพักครู ตอนแรกเพื่อนๆมันแซวกันใหญ่เลย แต่พอเรียนไปเรียนมา กลับมีเพื่อนเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเริ่มเรียน วิทย์-คอม ไม่ไหวกัน ที่นี้หละเราหัวเราะดังกว่าตอนที่พวกมันหัวเราะอีก(หัวเราะ) พอเรียนศิลปะก็เริ่มรู้สึกว่า เราวาดรูปไม่ได้เลยจะสอบเข้าสถาปัตย์ได้ยังไง วาดรูปห่วยมากจริงๆ ก็เลยไปเรียนติวกับพี่ที่จุฬา และตอนนั้นแหละเริ่มอยากได้กล้องถ่ายรูป บวกกับตอนนั้นพี่ๆเขาเห็นว่าเราน่าจะเรียน Industrial Design (ID) เพราะเราชอบพวก function พวกนั้น พี่ที่สอนเราเขาบอก “จริงๆแล้วเราเป็น ID นะ เพราะทุกๆอย่างที่เราทำมันดูเป็น ID มาก” ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนไปสอบเข้า ID แล้วก็สอบติดที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จำได้เลยตอนไปสอบสัมภาษณ์ บอกอาจารย์ว่า “อาจารย์ให้ผมเรียนเถอะ เชื่อผมเถอะ ว่าผมจะมีอนาคตที่ดีในคณะนี้ ถึงแม้ว่าผมจะวาดรูปห่วยก็ตาม แต่ผมมี vision นะอาจารย์” (หัวเราะ)
“I told the professor that i will have a very good future in this career. Although I can’t draw but I have a vision.”
My first dream from the primary school was to be an architect.It’s funny that i was so crazy about the house model, I collected the snack boxes to build the model myself. When i was in high school, i was the only one who attend the program to continue college level in school of architecture. More friends joined the program after they realized that computer program was too hard and moved to my program. However after i started my art class i knew that i couldn’t draw so i went to the tutor. That is when i wanted a camera the first time, and the tutor at Chula suggest that my character is more suitable for Industrial design. So I got in to Industrial design at KMUTT. At the interview i told the professor that i will have a very good future in this career. Although i can’t draw but i have a vision.
จำได้ว่าตอนม.5 อยากได้กล้องมากๆ
Nikon รุ่น coolpix 4300 4 ล้านพิกเซล สองหมื่นกว่าบาท เดินไปดูทุกวันเลย ก็จะลากแม่ไปดูที่ร้านกล้องทุกครั้ง ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากที่จะโน้มน้าวใจให้แม่ซื้อกล้องให้ตัวหนึ่ง 20,000 บาท กล้องตัวแรกได้มาเพราะว่าเอนท์ติด ตอนนั้นสอบตรงติดที่ สถาปัตย์บางมด (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) แล้วก็สอบติดโควตาที่เศษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แม่นี่แบบจุดพลุเลย ลูกเอนท์ติด เราก็ได้โอกาสเลย “แม่เอนท์ติดแล้วน่ะขอกล้องตัวนึงละกัน” คราวนี้เลยขอ Canon 300D ที่เป็น DSLR ก่อนที่เราจะซื้อเราศึกษามันมาประมาณหนึ่งเลยละ ดูหนังสือเยอะมาก เพราะเราเป็นคนที่ค่อนข้างใช้เงินคุ้มค่านิดนึง จะซื้ออะไรทีนึงจะใช้เวลาคิดนาน เพราะเก็บเงินด้วยตัวเอง เงินมันมีน้อย แต่พอจะซื้อจริงๆก็เกรงใจแม่ เพราะราคามันตั้ง 40,000 บาท เลยไปแคะกระปุกมา มีอยู่ 8,000 บาท เลยช่วยสมทบทุนแม่ไป 8,000 บาท พอได้กล้อง ก็แบบเท่ห์โคตรๆ เพราะกล้องมันมืออาชีพมาก แต่ถ่ายออกมาดูไม่สวยเลยสักรูป มันดูไม่ได้เลยนะ เราก็รู้สึกแย่ละ ถือกล้องตัวเบอเร่อแต่ถ่ายรูปไม่ได้เรื่องเลย
When i was in High school I want a camera badly.
I took my mom to the camera shop to look at the Nikon coolpix 4300, 4 million Pixel for 20,000 baht everyday. It hard to convince her to buy. My 1st one was a reward for accepted both to the School of Architecture and Design, King Mongkut’s University of Technology Thonburi and Faculty of Economics, Thammasat University. My mom was so proud, so i took a chance asking her for a Cannon 300D that I had reserved for a while. Since I had a limit budget and it was 40,000 baht. And I gave my mom on 8,000 baht from all of my saving. when I got a camera, it looked very awesome and professional. But the photo was pretty bad, it felt so bad having a cool camera but taking a bad pictures.
เราก็เลยไปเรียนถ่ายภาพ
อาจารย์นพดล อาชาสันติสุข (บรรณาธิการ นิตยสาร Camerart) ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เคยรู้มาเกี่ยวกับการถ่ายรูปมันผิดหมดเลย เพราะการถ่ายรูปมันไม่ใช่การจำว่าค่าแสงแบบนี้ต้องตั้งค่าอันนั้นอันนี้เท่าไหร่ แต่มันคือการทำความเข้าใจกับการถ่ายภาพมากกว่า อาจารย์ท่านเริ่มสอนตั้งแต่เบสิกใหม่เลย จนเริ่มถ่ายเป็นขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้ดีอะไรมากมายนะ ใครที่คิดว่าตัวเองถ่ายรูปไม่เก่งอะ ให้มาดูงานเราจากกล้องตัวแรก เชื่อไหมว่าเรายังเก็บไว้อยู่เลย( หัวเราะ) พอเรากลับไปดูก็ขำตัวเองนะ ครั้งนึงแฟนเราถามเราว่าทำไมไม่ลบมันทิ้งไปหละ เราตอบว่า “เราเก็บมันไว้เพื่อเตือนสติตัวเอง มันเป็นแรงผลักดันในการทำงานของเรานะ ไอ้ความรู้สึกแย่ในตอนนั้น แต่พอกลับไปดู มันก็ทำให้เราภูมิใจนะ ว่าเราก็มีการพัฒนาทางด้านถ่ายรูปเหมือนกัน”
So I took a photograph class
My instructor, Nopadol Achasantisuk (The editor of camerart magazine) taught me that all I know about photo was all wrong. Taking a photo was not only about setting value in camera. But the understanding of the photography. He started to taught from the basic. I improved a little but not that good. Whoever think tha t they can’t taking a photo should look at my 1st portfolio. Looking back it kind of funny once my girlfriend asked me “why didn’t I deleted it, I answered it was to remind myself and be my motivation that bad feeling make me proud today.”
“
มันไม่มีงานทำ ไม่มีงานไม่พอมันหนาวมาก หดหู่มาก ตังค์ก็หมด
เราร้องไห้เลยนะ ท้อมาก มันยากเกินไปแล้ว มันเกินสิ่งที่เราคาดหวังไปเยอะแล้ว
“
ส่วนมากคนชอบถามเรื่องกว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้เดินทางยังไง แต่ไม่ค่อยมีคนถามว่าแต่ละ step มันเป็นยังไง
อย่างตอนที่อยู่อังกฤษ ช่วงมกราปีที่แล้ว (หัวเราะ) มันไม่มีงานทำ ไม่มีงานไม่พอมันหนาวมาก หดหู่มาก มันแบบอับเฉาไปหมด ดอกไม้ไม่บาน บ่ายสามก็มืดแล้ว ตังค์ก็หมด แม่ก็บอกให้กลับบ้าน เรียนก็ยาก ชีวิตมันแย่มากๆ เราเคยส่งอีเมลไปสมัครงานเป็น 1000 ฉบับ แล้วไม่มีใครตอบกลับมาเลยน่ะ บางที walk in เข้าไป โดนคนดูถูก โดนคนหาว่า คุณเป็นเอเชียจะทำงานแบบนี้ได้หรอ นี่มันเป็นงานของฝรั่งเขาทำกันน่ะ ซึ่งมันเป็นอุปสรรคครั้งยิ่งใหญ่มากเลยน่ะ เราร้องไห้เลยนะ ท้อมาก มันยากเกินไปแล้ว มันเกินสิ่งที่เราคาดหวังไปเยอะแล้ว ก่อนที่จะมาอยู่อังกฤษปีนึงเต็มๆ เราทำงาน 7 วัน ทำงานทุกวันถ่ายรูปทุกวัน ทำงานหนักมาก และพอมาอยู่อังกฤษไม่มีงานทำนั่งนอนอยู่บ้าน เหมือนชดเชยเวลาที่เราทำงานหนักตอนอยู่เมืองไทย ว่างอยู่ 8 เดือนเลยน่ะ แต่ในช่วง 8 เดือนนั้นก็ทำ Portfolio อยู่ตลอดเพื่อพัฒนางานของตัวเองให้ดีมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับ ในช่วงนั้นเงินที่หามาจากไทยก็เริ่มจะหมดแล้ว เกือบไปสมัครเป็นเด็กล้างจานแล้ว เพราะเงินดี แต่แฟนเราห้ามไว้บอกให้ลองสุ้อีกสักครั้ง เราก็แบบเอาว่ะ อีกสักตั้ง ก็มาได้งานแรก เป็นงาน wedding ซึ่งเป็นงานที่เราถนัดที่สุด แล้วมันก็ต่อยอดมาเรื่อยๆ
Most people ask how I can be here, but nobody ask about each step
When I was in UK last january I didn’t have a job. I didn’t have money. I was so depress. My mom want me to get back home in Thailand. I sent a lot of email to apply for a job for 1000 times. when I went to interview I was look down that asian cant do this kind of job, it a job for European. I was my great obstacle, I did cried, it was too hard. For 8 months, I stay at home for nothing, but I took the time to improved my portfolio. I almost took a busboy job at the restaurant nearly broke. I got my first photograph job as a wedding photographer which I can do the best, after that the job keep coming.
Making European knows that Thai, Asian can be a professional photographer.
I use the asian style of generosity and sweetness. The European work are colorful and strong but my work are soft, lively and strong especially the wedding photograph, my wedding work is lively like the asian with smile. This personality will reflect from the photo. I put the asian straight to my photo wish will catch the eye of the viewer.
We must understand our work
Some good photographer are to emotional then they forget about what costumer want. We must balance between our artistic and costumer needs, be punctual have integrity. Work is work either getting a paycheck or not if we decide to that job we must do it 100% the same.
We don’t have to limit our style of photography
A good portrait picture should let people know who you really are
ทุกๆคนมันมีความฝันแหละ แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำความฝันนั้นเป็นจริง
RECOMMENDED CONTENT
กลับมาอีกครั้งสำหรับสองพี่น้องวงดูโอ้มากความสามารถระดับอินเตอร์อย่าง “Plastic Plastic” (พลาสติก พลาสติก) ประกอบด้วย “เพลง - ต้องตา จิตดี” (ร้องนำ, คีย์บอร์ด) และ “ป้อง - ปกป้อง จิตดี” สังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) หลังจากปล่อยอัลบั้ม Anything Goes ให้แฟน ๆ ได้ฟังไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา