ในโลกออนไลน์ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Pearypie makeup artist สาวรุ่นใหม่ไฟแรง กับการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าที่ไม่เหมือนใคร ด้วยความมุ่งมั่นในการทำตามความฝัน มาวันนี้เธอกำลังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ makeup artist ของเมืองไทย และยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในด้านความงามต่อสาวยุคใหม่กว่าแสนคน ไม่ว่าใครๆ ในตอนนี้ก็อยากจะสวยแบบเธอ Beauty Influencer : แพร-อมตา จิตตะเสนีย์
มันเริ่มจากการที่แพรชอบวาดรูป
ชอบขีดเขียนนู่นนี่ ชอบความสวย ความสวยมันคู่กับผู้หญิงอยู่แล้ว แพรก็ชอบวาดรูปบนกระดาษแต่ก็ไม่ได้คิดว่า อยากมาแต่งหน้าอะไรแบบนี้ แต่พอได้แต่งหน้า มันเหมือนกับการที่เราวาดรูปบนตัวเขา เราได้เห็นภาพที่เราวาดมันเคลื่อนไหวได้ เราได้เห็นเขาโพส ได้เห็นภาพออกมาตอนสุดท้าย มันสนุกกว่าการที่เรานั่งอยู่ในห้องคนเดียวแล้ววาดรูป และเวลาที่เราได้แต่งหน้าทำให้ได้คุยกับนางแบบ ได้รู้เรื่องราวของเขา รู้สึกว่าเรามีเพื่อนมากขึ้น เราได้เจออะไรใหม่ๆมากขึ้น รู้สึกสนุก และเราได้แลกประสบการณ์ชีวิตกันและกัน
แพรเรียนจบคณะ Performance Design and Practice ที่ Central Saint Martins, London
ถ้าเรียกภาษาไทยก็คือออกแบบการแสดง แต่ว่ามันจะไม่ได้อารมณ์เหมือนรัชดาลัยเธียร์เตอร์ แต่ที่เราเรียนจะเป็นประมาณว่าเขาให้สคริปต์มาหนึ่งเรื่อง เราชอบ text อะไร ชอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ใจความสำคัญของเรื่องนั้นคืออะไร โดยหน้าที่ของเราคือเป็นคน visualized text ให้เข้ากับคนนั้นๆ เช่น “Shakespeare” อารมณ์ของเครื่องแต่งตัว แต่งหน้า จะเป็นสมัยเก่า แต่คือแพรจะแค่เอา element ของ Shakespeare ออกมาใช้นิดหน่อยพอ บางทีคนแสดงไม่จำเป็นต้องเป็นร้อยคน เป็นคนเดียวก็ได้ ซึ่งเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องเป็นยุคสมัยนั้น เป็นโป๊ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงในโรงละคร สามารถแสดงกลางถนนก็ได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการแต่งหน้าเลย แต่แพรก็พยายามผสมผสานการแต่งหน้าในสไตล์ของแพรเข้าไป
อย่างงานล่าสุดที่แพรทำเป็น thesis จบ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ disease (เชื้อโรค)
แพรมองมันเหมือนกับโรคประจำตัว มันอยู่กับเราทั้งๆที่บางทีเราไม่รู้ตัว โดยที่เราจะตอบสนองกับโรคนั้นยังไง เราก็พยายามคิดว่า จะเอาคำว่า disease มาใช้อะไรกับงานเราได้บ้าง โดยที่ script มันคือ disease ที่มันฆ่าคนตายไปหมดเลย ตอนนั้นแพรเล่นกับคนที่อยู่รอบข้าง แพรใช้นักแสดง 30 คน และงานแพรก็ไปเน้นในเรื่องของ costume ว่าเราอยากให้คนเหล่านั้นแต่งหน้าแบบเละๆ เหมือนแป้งเปียก ก็จะเป็นอะไรที่ขาวหมดเลย เราก็เอาทุกอย่างมาลงหน้า และให้คน 30 คนนั้นคลานไปตามถนน โดยถนนเป็น theater ที่เป็นแบบ open space คล้ายๆ happening art โดยไม่ได้บอกก่อนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นและสังเกตคนรอบข้างว่า เขามีปฏิกิริยาอย่างไรกับคนที่คลานอยู่ บางคนก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป เอ๊ย! มันมี exhibition มันมีกระทั่งคนที่คลานตามเราก็เลยรู้สึกว่ามันเจ๋งดีน่ะ และตอนนี้แพรก็คิดอยู่ว่าสิ้นปีนี้ แพรอยากจะมี exhibition เป็นของตัวเองที่เมืองไทย เกี่ยวกับความฝันของตัวเอง ต้องลองติดตามดูว่าจะเป็นยังไง
แพรจะชอบ experiment
แพรถูกสอนมาอย่างนี้ตั้งแต่อยู่ที่อังกฤษแล้วว่าต้อง research ทุกอย่างก่อน อย่างเช่น ถ้าเป็นงานศิลปะสมัยเด็กๆ สมมุติว่าเราได้ keyword เป็น “water” เราก็จะต้อง research ว่า history ของมันคืออะไร แปลว่าอะไร หรือลองหา artist ที่ใช้คำว่า water ว่าเขาทำยังไงกับผลงาน แล้วตัวเราหละจะเอามาใช้ยังไง หลังจากนั้นจึงลอง experiment ในแง่ต่างๆของมัน เช่น ลองใช้สีน้ำในการวาดดู ลองเอาเทียนไปหยดในน้ำ หรือว่าน้ำสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง
ถ้าเป็นการแต่งหน้า
สมมติว่าแพรอยากได้ look นี้ แพรก็จะไป research แล้วก็กลับมาดูว่าเราใส่ element อะไรได้บ้าง แพร inspired by artist ท่านไหน แพร inspired ด้วยสีอะไร แล้วแพรก็สร้างลุคนั้นลงบนกระดาษ ถ้าพูดถึงขั้นตอนในการทำงาน หลังจากที่แพรลองลงเครื่องสำอางบนกระดาษเสร็จ ก็จะลองบนหน้าตัวเองว่า สีนั้นเวิร์คไม่เวิร์ค พอลองแล้วปุ๊บ แพรก็นำไปใช้ หรือบางทีก็แต่งหน้าตัวเอง ลองนุ่นนี่ที่ไม่เคยลองมาก่อน เช่น ไม่เคยลองกรีด eyeliner ยาวถึงคิ้ว ฉันก็ลอง ฉันไม่เคยทาปากสีม่วง ชมพู ฟ้า ในปากเดียวกัน ก็ลองไปเรื่อยๆแพรเป็นคนชอบทาลิปสติกหลายๆสี มันทำให้แพรรู้สึกสนุกกับชีวิต แพรรู้สึกเหมือนเติมอะไรให้กับชีวิต แพรคิดว่าเครื่องสำอางมันมีข้อดีคือทาแล้วลบได้ แพรพยายามบอกทุกคนเสมอว่า ถ้า you กลัวที่จะแต่งปากสีนู้นนี้ ถ้ามันไม่ดีก็แค่ลบออก
ครั้งหนึ่งเราเคยให้สัมภาษณ์กับ celeb online ว่า
1. อยากทำ fashion week
2. มีโรงเรียนของตัวเอง
3. มีแบรนด์ของตัวเอง
และพอกลับมาจากอังกฤษเราได้ กากบาท ข้อ fashion week แล้ว
ตอนนั้นแพรชอบ makeup artist ท่านหนึ่งชื่อว่า Lan Nguyen งานเขาสวยแบบมีอารมณ์ theater อยู่ แพรก็เลยชอบคนนี้ เราก็เลย email ไปหาเขาว่า มีอะไรให้เราช่วยได้ไหม เขาก็ตอบเราบ้างไม่ตอบบ้าง จนกระทั่งคืนหนึ่ง fashion week จะเริ่มพรุ่งนี้แล้ว เขาโทรมาหาว่า “มาสิ ฉันขาดคนพอดี” ถือว่าโชคดีมากๆสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ makeup อะไรมาก่อนเลย การที่เราได้เข้าไปในจุดๆนั้น ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา มันตื่นเต้น และภูมิใจที่เราได้ก้าวไปถึงจุดนี้ได้
ผู้ช่วย makeup artist ที่จริงแล้วหน้าที่มันมากกว่ากว่าถือพู่กัน
เขาไม่ได้ให้ที่คุณมาวางเครื่องสำอางบนโต๊ะอย่างเดียว แต่เขาให้เก้าอี้เราตัวเดียวและคุณต้องถือของทุกอย่างบนมือแล้วต้องไปแย่งที่กับคนทำเล็บ แต่งผม สไตล์ลิสต์ คือเหมือนกับการแย่งนางแบบกัน คือตอนแรกแพรได้ทำแค่ไม่กี่โชว์ แล้วเขาชอบแพรมาก สุดท้ายเขาให้แพรทำถึง 12 โชว์ ซึ่งเราพิสูจน์ให้เขาดูได้ว่า เราเป็นคนไทยและเราก็ไม่ได้เรียนแต่งหน้ามา แต่เรามีความสามารถในระดับหนึ่งด้วยประสบการณ์ที่น้อยนิด
makeup artist ที่เมืองนอกกับเมืองไทยมันต่างกัน
แพรไม่ได้อยาก position ตัวเองว่าเป็น makeup artist ที่เมืองไทย แต่พอมาอยู่เมืองไทยมันกลายเป็นว่าเราเป็นแค่ช่างแต่งหน้าที่แต่งหน้าตามงานต่างๆ ซึ่งช่างแต่งหน้ามันไม่มีความ creativity ถ้าเป็นเมืองนอกจะเป็นอารมณ์ที่ creative มากๆ จะเล่นได้เต็มที่ แต่งหน้าได้เต็มที่ และ makeup artist คนไทยส่วนมากเขาจะ based on stylist โดยส่วนมากแล้วโปรเจคแพร แพรจะขอเป็นตัวเอง แพรขอแต่งเอง อย่ามายุ่งนะหรือขอแค่ชื่อธีมก็พอ “สมมุติเขาอยากได้ธีม galaxy ถ้าเขามี reference มาว่าอยากได้แบบนี้เป๊ะๆ แพรจะไม่ copy งานใคร แพรจะมาเปลี่ยนเป็นของแพรเอง อย่างน้อยเราได้ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป”
แพรไม่ได้มองตัวเองว่าเป็น blogger หรือว่า makeup artist Pearypie ณ ตอนแรก จุดประสงค์หลักคือแค่รวมผลงานที่แพรเคยทำมาเท่านั้นเอง หลังจากนั้น แพรก็เริ่มทำ how’s to ทำ workshop ตอนนี้ทำมาปีกว่าแล้ว มีแฟนคลับแสนคนนิดๆ ก็งงๆเหมือนกัน แต่ใน blog แพรก็ไม่ได้แค่สอนแต่งหน้า คือแพรต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าเราเป็นแรงบันดาลใจของคนกลุ่มนั้น เวลาผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งหน้าและไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับชีวิต แพรก็จะมีอะไรที่มา inspired พวกเขา อย่างเช่น ถ้าวันนี้คุณทำไม่ดีพรุ่งนี้คุณก็เริ่มใหม่นะ เขาก็จะเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เราอยากทำให้เข้ารู้สึกว่าเ ขาอยากทำตามฝันจริงๆ อย่างเช่นว่า เขาอยากเป็นนู่นเป็นนี่ แต่ว่ามันก็จะมีอะไรมาเป็นอุปสรรคให้เขาทำไม่ได้ แต่ว่าเราอยากให้เขามีความรู้สึกว่า ไม่ไช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่อยากให้เขารู้สึกว่า “มันไม่มีคำว่าทำไม่ได้ถ้าคุณไม่ลอง” อยากให้เขารู้สึกว่าเขาทำได้
ความพิเศษในตัว Pearypie
อาจจะเป็นเพราะแพรมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แพรพูดอะไรแพรพูดตรงๆ แพรพูดมาจากใจ แพรเข้าถึงง่าย เพราะว่าแพรไม่มีนะว่า ถ้าวันนี้คุณไม่เข้าใจ คุณต้องเข้าใจวันนี้เลย ไม่มีไปคุยต่อในอีเมล์นะ คุณต้องสรุปวันนี้เลย ต้องคุยให้รู้เรื่อง แพรรู้สึกว่า ถ้าเราได้เปิดใจแล้วเราได้นั่งคุย มันทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น แพรอาจจะถูกมองว่าแพรเรื่องมาก แต่ถ้าอยากได้งานที่ดีที่สุด แพรก็คงไฟท์กับมัน
และบางครั้งแพรไม่ได้อยากให้งานมันออกมาดู commercial มาก
ถ้างานออกไปปุ๊บ คนไม่เข้าใจในจุดที่เราเป็นก็ไม่ดี สมมุติว่าเราไปถ่ายแฟชั่นใน magazine เขาก็จะมี sponsor เป็นเสื้อผ้า เขาก็จะพยายามจับแพรให้เข้ากับเสื้อผ้าเหล่านั้น ทั้งๆที่แพรไม่เข้ากับเสื้อผ้าเหล่านั้น เช่นสมมุติว่า เขาให้ Armani Exchange มาใส่ ซึ่งมันไม่ใช่แพร มันดู casual ดู Smart แล้วเราไม่ใช่ลุคนั้น เราไม่ใช่ลุคทำงาน เราเป็น young เรา fresh ซึ่งแพรก็บอกว่า “พี่คะ เสื้อมันไม่เข้ากับแพรเท่าไหร่ แพรขอทาปากสีเขียวได้มั๊ย” แล้วแพรก็ทาปาก พร้อมทำผมหยิกฟูมากเดินออกมาก ทีมงานบอกว่าลูกค้าอาจจะไม่เข้าใจ แต่ในส่วนนี้ ถ้าคุณเอาแพรมาใส่เสื้อผ้าพวกนี้ คนยิ่งไม่เข้าใจว่าแพรเป็นใคร การที่แพรใส่ปากสีเขียว อย่างน้อยมันทำให้เห็นว่า มันยังมี gimmick ที่เป็นแพรอยู่
แพรจะโดนคุณแม่หรือพี่ฟ้า(ผู้จัดการ) เตือนบ่อยมากว่า ทำไมแพรพูดตรง
ทำไมแพรไม่พูดไม่มีหางเสียง ติด กู มึง คืออย่างแม่ แม่จะไม่เข้าใจ แต่แพรจะรู้สึกว่า ทำไมหละ มันเป็นตัวเรานะ ด้วยตัววัฒนธรรมของไทยมันมีมาตั้งนานแล้ว เราไม่สามารถที่จะมาเปลี่ยนแปลงมันได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่แพรทำได้คือ ต้องถามตัวเองว่า แพรอยู่ในสถานการณ์ไหน แพรอยู่ถูกที่รึเปล่า ถูกกาลเทศะรึเปล่า อย่างวันนี้ที่มาคุยกัน แพรก็จะบอกเลยนะว่า เออ แพรขอเป็นตัวเอง แต่ถ้าอยู่กับผู้ใหญ่ที่เป็นเพื่อนแม่ ก็จะเป็นอีกแพรนึง แต่เป็นแพรที่พูดว่า ค่ะ อะไรดีคะ เดี๋ยวแพรทำให้นะคะ ซึ่งเป็นอีกแพรนึงแต่ว่ามีกาลเทศะถูกที่ถูกเวลา
เริิ่มจากแพรอยากมี Production House ของตัวเอง
คือแพรก็แต่งหน้า ทำ how-to แต่แพรรู้สึกว่า คนไทย, ประเทศไทย คำว่า”แฟชั่น”มันยังอยู่แค่ใน magazine ซึ่งในปัจจุบัน โลกเรามันออนไลน์ มันทำให้ทุกอย่างดู inside ตลอดเวลา แพรเลยคิดว่า แพรอยากทำ Production House ที่เน้นเรื่องแฟชั่นวิดีโอ Behind the scene หรืออะไรที่เกี่ยวกับมีเดีย ออนไลน์ ซึ่งแพรรู้สึกว่ายังไม่มีใครทำตรงจุดนี้ ทำให้มัน commercial นิดนึง แต่ถ้าเราใส่ความ commercial มากเกินไปคนก็ไม่ดูเรา เพราะมันทำให้เราดู cheap แต่ถ้าคุณใส่ commercial ที่คนอื่นไม่ทำ ก็คือขายได้ แต่ว่าต้องทำให้ดูแล้วมันเท่ห์ ดูแล้วมันมีสไตล์ ดูแล้วมันล้ำ แต่ก็ไม่ได้ดูแล้วอาร์ทจนเกินไปจนเข้าใจยาก ซึ่งแพรรู้สึกว่า ปัจจุบันที่แพรทำอยู่ มันยังไม่ดีเท่าที่แพรคิดไว้ คืือแพรก็มีโปรเจคที่แพรคิดไว้ว่า แพรอยากมีแฟชั่นวิดีโอที่มันค่อนข้าง art หน่อยแล้วก็เกี่ยวกับเครื่องสำอาง ซึ่งมันเป็นโปรเจคของแพรเอง โดยไม่ต้องมี sponsor เลย แต่ว่าตอนนี้มันยังทำไม่ได้
ถ้าถามว่าแพรโชคดีไหมที่เกิดมาแล้วมีพร้อม แพรถือว่าแพรโชคดีกว่าหลายๆคน
แพรมีพ่อแม่ที่ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ แต่แพรกล้าที่จะหลุดกรอบของครอบครัว เพราะที่บ้านก็มี business อยู่แล้ว แพรไม่ทำ แพรอยากทำสิ่งที่แพรชอบซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเวิร์ครึเปล่าแล้วก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จรึเปล่า แต่แพรก็ไฟท์กับพ่อแม่นะ โอเคกลับมาเรื่องต้นทุนชีวิตของแพรที่ว่ามีส่วนไหม ก็อาจจะเกี่ยวด้วยเพราะเรามีโอกาสได้ไปเรียนที่ลอนดอน ได้ไปเห็นโลกที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้เห็น แต่สิ่งที่แพรทำอยู่คือ แพรพยายามเอาสิ่งที่แพรเห็นมาเผยแพร่ให้กับคนที่ไม่เคยเห็น มันก็แฟร์นะ ถ้ามองจากมุมนี้
ก้าวต่อไปของ Pearypie
คงจะเป็น Production House กับโรงเรียนสอนศิลปะการแต่งหน้า ซึ่งปัจจุบันในกรุงเทพฯมันก็ยังไม่ค่อยมีแบบที่แพรอยากจะทำเท่าไหร่ คือการแต่งหน้าของบ้านเราถูกสอนมาว่า 1.รองพื้น 2.แป้ง 3.แก้ม 4.เฉดดิ้ง 5.คิ้ว มันจะมีขั้นตอนเยอะเกินไป แต่ใน blog แพร แพรจะบอกเสมอว่า การแต่งหน้าจริงๆแล้วมันเป็นเรื่องง่ายๆ มันไม่เหมือนสูตรเคมีที่พอใส่ผิดแล้วมันจะระเบิด คุณจะลงรองพื้นก่อน แล้วคุณเขียนคิ้ว แล้วค่อยกลับไปตบแป้งก็ได้ เหมือนเราทดลองทำขนมที่มันไม่ต้องตวงเป๊ะๆ อะไรก็ได้ให้มันสนุก คุณลองใส่ gimmick เข้าไปสิ คุณลองแบบนี้ คุณลองแบบนั้น คือเขาต้องลองก่อน
แพรคิดว่ามันน่าจะเกิดอีก 2 ปี
แพรอยากบินไปนิวยอร์คดูว่า เวลาที่เขาสอนแต่งหน้าแล้วเขาเรียนกันจริงๆมันเป็นยังไง ซึ่งทาง Production House เนี่ย แพรก็จะโยนให้ Jeto เขาเป็นคนรับผิดชอบไป ซึ่งแพรบอกก่อนเลยว่า เราเริ่มกันจากศูนย์ วิดีโอ tutorial ตัวแรกของแพรกับตัวล่าสุดมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกกล้องก็มีแค่ตัวเดียว ขอไฟซักดวงนึง เป็นไฟอ่านหนังสือก็พอ แต่ตอนนี้เราเริ่มมีสตูดิโอแล้ว ซึ่งแพรเชื่อว่า Jeto ทำได้เพราะเขามีมุมมองที่ดี
มาวันนี้แพรรู้สึกว่าแพรภูมิใจนะ ที่กลายเป็นคนที่มีอิทธิพลกับผู้หญิงเป็นแสนคน
ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่มาตามแพรมากกว่า ยิ่งคนเข้ามาเยอะ ยิ่งเขาถามคำถามเราเยอะ นั่นแสดงว่าเราต้องทำการบ้านให้มากขึ้น เพื่อที่จะมาตอบคำถามเขา แพรบอกได้เลยว่า แพรไม่ได้เริ่มจากสิ่งที่แพรรู้ แพรเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน เพราะคนที่เขามองเรา เขาก็จะมองว่า เราเป็นด็อกเตอร์ เราเป็นกูรู เราต้องรู้ทุกอย่าง ซึ่งแพรบอกได้เลยว่า แพรไม่รู้ซักอย่าง แต่สิ่งที่แพรรู้คือสิ่งที่แพรไปสรรหามาเพื่อที่แพรจะได้ตอบคำถามเขาให้ได้ การที่เรามีวันนี้ได้เป็นเพราะน้องๆและแฟนๆที่มาติดตามเราจริงๆ
แต่ “แม่” เป็นคนที่มีอิทธิพลกับแพรมากที่สุด
คุณแม่เขาก็จะเหมือนแพร แพรก็จะเหมือนคุณแม่ เป็นคนหัวแข็ง ใครจะมาเปลี่ยนเป็นเรื่องยาก อาจจะเป็นจุดดี จุดนึงของแพรที่ทำให้แพรไม่คล้อยตามคนอื่น แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนๆก็ไม่ดีนะ เช่นแบบ แพรอยากกินราเมน เพื่อนอีก 20 คนถ้าเธอไม่อยากกิน เธอก็ไปกินอย่างอื่น แต่ฉันกินราเมนคนเดียวก็ได้ แต่มันก็ดีในจุดที่ว่า ทำให้เราก้าวมาถึงจุดนี้ มันเพราะทำให้เราไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป แต่เราแค่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์หรือตามกาลเทศะก็พอ
แพรอยากจะบอกว่าชีวิตเรามันมีแค่ชีวิตเดียว
แล้วถ้าเราไม่ทำให้มันเต็มที่หรือเราไม่สนุกไปกับชีวิต เราก็ไม่รู้จะเกิดมาเพื่ออะไร แต่บางครั้งเราก็มีเบรคไปฮอลิเดย์ มีพักมีหยุดบ้าง แต่ถ้าให้พูดถึงดีไซเนอร์ แพรอยากให้คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่คุณทำอยู่ คุณทำเพื่อใคร คุณทำเพื่ออะไร แล้วคุณมีความสุขกับมันไหม ©
ติดตามความคลื่อนไหวของเธอแบบใกล้ชิดได้ที่ :
Fanpage : http://www.facebook.com/pearypiemakeupartist
Youtube : http://www.youtube.com/user/pearypie
Tumblr : http://pearypie.tumblr.com/
related story : Interview with Oat Chaiyasith
RECOMMENDED CONTENT
ปล่อยเพลงใหม่ให้แฟน ๆ ได้ฟังเป็นที่เรียบร้อย สำหรับวงดนตรีดูโอ้อินดี้ดรีมป็อปอย่าง “LANDOKMAI” (ลานดอกไม้) ประกอบด้วย “อูปิม - ลานดอกไม้ ศรีป่าซาง” (ร้องนำ) และ “แอนท์ – มนัสนันท์ กิ่งเกษม” (กีตาร์, คอรัส)สองสาวศิลปินน้องใหม่ล่าสุดจากค่ายเพลง What The Duck