กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เป็นนักแสดง เป็นพระเอกเอ็มวี เป็นนายแบบโฆษณาที่เราเห็นบ่อยมากที่สุดแห่งยุค เป็นคนทำโปรดักชั่นเฮ้าส์ที่กำลังจะย้ายออฟฟิศมาอยู่ซอยอารีย์ (แหนะ อย่ามาคิดว่าเราจะเล่นมุก ‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว’ เชียว!)
…หรือจริงๆ แล้ว เขาอาจเป็นแค่คนหนุ่มวัย 26 ที่กำลังสนุกกับการเรียนรู้ทุกๆ อย่างตรงหน้า
กรรณให้สัมภาษณ์มาแล้วทุกสื่อจนเราก็รู้สึกว่าจะคุยอะไรกับเขาได้อีก แต่เราเชื่อว่าทุกการพูดคุยเป็นเหมือนการสำรวจช่วงวัยในเวลานั้นของทั้งตัวผู้ถูกสัมภาษณ์เหมือนกัน และกรรณก็ให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีสบายใจ คำถามของเราเลยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรให้มากมาย แค่ปล่อยให้กรรณเผยความคิดในอายุเติบโตของเขาออกมาเอง
—————
ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็น Coming-of-age ของกรรณแล้วหรือเปล่า
จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้นะ อาจไม่ได้เหมือนในหนังขนาดนั้น แต่ก็มีคำถามกับตัวเองบ้างเหมือนกันว่า อยากทำอะไรต่อ ชีวิตแบบนี้คืออย่างที่ต้องการแล้วหรือยัง สุดท้ายคำตอบมันง่ายมากเลยคือเราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร กลายเป็นว่าไม่ได้โฟกัสแค่เราอยากได้อะไร แต่มีใครที่ต้องดูแล ยิ่งโตขึ้นยิ่งรู้สึกแคร์เรื่องนี้มากขึ้น
ยังมีอีกหลายอย่างมาก ผมไม่สามารถพูดได้ว่าเล่นบทนี้แล้ว รู้แล้ว ขนาดสิ่งที่เล่นไป พอกลับมามองก็ยังพบว่ามีวิธีสื่อสารอีกตั้งหลายแบบ สิ่งเหล่านี้ผมว่ามันมาพร้อมกับประสบการณ์ ผมไม่อยากแค่เล่นได้ แต่อยากเล่นให้ดี คนเราไม่ควรทำงานแบบเอาง่ายไว้ก่อน
สิ่งไหนบ้างที่ค้นพบจากการแสดง
ผมชอบการเป็นนักแสดงตรง process ของการทำงาน มันคืออีกมุมหนึ่งของการผลิตงาน ผมชอบการเป็นนักแสดงตรงที่ได้ค้นหาว่าอยากให้ตัวละครตัวนั้นเป็นคนแบบไหน อยากให้เขาเป็นคนลึกขนาดไหน เข้าใจยากหรือเข้าใจง่าย ผู้กำกับฯ บางคนอยากให้ผมเล่นเป็นตัวเองนี่แหละ คำถามที่เราต้องกลับมาถามตัวเองคือ ไอ้ตัวเรานี่มันดีแล้วจริงๆ เหรอ เพราะตัวละครนั้นอาจต้องการความคิดอีกแบบหนึ่ง บุคลิกอีกแบบหนึ่ง การเป็นตัวเองอาจจะใช้ไม่ได้ในบางครั้ง
บางคนบอกว่าการเล่นเป็นตัวเองก็ไม่เห็นยากอะไร แต่อยากบอกว่าการเป็นตัวผมเองมันยากมาก ผมจะอายมาก ไม่กล้าพูด ไม่กล้าสบตากับกล้อง เพราะผมเป็นคนไม่กล้าแสดงออก เป็นแบบนั้นมาตลอด การแสดงสำหรับผมเหมือนการหยิบชุดมาสวม คือเป็นร่างกายเรา เสียงเรา แต่การแสดงออกไม่ใช่เรา
ปัญหาของการเป็นคนที่ทำงานเบื้องหน้ากับเบื้องหลังพร้อมกันคืออะไร
มันกลายเป็นว่าเราคิดเกินหน้าที่ ผมเคยทำนะ ทำไมพี่ถ่ายแบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนั้น เป็นธรรมชาติของคนอยู่แล้วล่ะที่จะเอามาปนกัน ซึ่งมันไม่ดีไง คนเราไม่ควรก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น แม้แต่ตัวผู้กำกับฯ หรือตากล้องแต่ละคนเองยังมีวิธีทำงานไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นใครทำงานแบบไหนแล้วงานมันออกมาดีที่สุดก็ทำไป เราแค่ทำงานของเราก็พอ
ทำไมถึงสนใจงานเบื้องหลัง
จริงๆ คณะที่ผมเรียนก็ไม่ใช่เบื้องหลังภาพยนตร์ขนาดนั้นหรอก แต่เป็นเบื้องหลังของงานกราฟิกต่างๆ พวก CG หรือ motion พอถึงปีที่จะต้องเลือกสายของตัวเอง ผมดันมาอินกับหนังมากๆ รุ่นพี่ที่สนิทก็เป็นสายทำหนังหมดเลย พอได้คลุกคลีกับเขา ผมเลยได้ดูหนังเยอะไปด้วย หนังเป็นสิ่งที่ผมอยากเข้าใจมากที่สุด อยากรู้ว่าเขาเล่าเรื่องยังไง ถ่ายยังไง
มีหนังเรื่องไหนที่เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของคุณ
ถ้าให้หาเรื่องใดเรื่องหนึ่งคงไม่มี การเรียนทำหนังทำให้รู้ว่าหนังทุกเรื่องก็มีแง่มุมของมัน ผมเชื่อว่าหนังที่ดีจะให้ทัศนคติที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ไม่ได้บอกว่าทุกเรื่องมีทัศนคติดที่ดีนะ แค่พอเราดูจบ ไอ้ความคิดนั้นนจะติดไปกับเราเลย ไม่ว่าเราจะเชื่อตามนั้นหรือไม่ก็ตาม มันทำให้เห็นว่ายังมีวิธีคิดอีกหลายแบบอยู่บนโลกนี้ด้วย ผมเลยตอบไม่ได้ไงว่าเรื่องไหน เพราะพอผมบอกว่าผมชอบหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนจะคิดทันทีว่า อ๋อ ผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ นึกออกมั้ย เหมือนบอกใครว่าผมชอบมาร์เวล คนจะแบบ ‘อ่าว กรรณแม่งแมสว่ะ’ (หัวเราะ)
คนเราอยากได้อะไรจากหนังไม่เหมือนกัน บางวันเราแค่อยากได้ความบันเทิง แค่ผ่อนคลายก็พอแล้ว ขณะที่บางวันเราก็อยากดูสารคดีหนักๆ อย่างวันก่อนผมเพิ่งดูสารดคี Tokyo Idol เห้ย มันเปิดโลกมาก เป็นอีกคัลเจอร์หนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้เข้าใจคนในหลากหลายแง่ คนที่คิดต่างจากเรา เขาก็ไม่ได้ผิด แค่เขาเชื่อไม่เหมือนเราเท่านั้นเอง
ความสนใจในคัลเจอร์ของสิ่งต่างๆ ทำให้ได้มาทำรายการพื้นที่ชีวิตด้วยหรือเปล่า
ตอนที่รายการอีเมล์เข้ามาถามว่าผมสนใจมั้ย สนใจนะ แต่ผมก็บอกเขาไปว่าผมคงไม่สามารถเป็นพิธีกรขนาดนั้น หันหน้าใส่กล้อง ‘สวัสดีครับ วันนี้เราอยู่กันที่ปากีสถาน’ อะไรแบบนั้น พอเขาอธิบายให้ฟังว่ามันเหมือนการให้เราออกไปใช้ชีวิต แล้วกลับมาเล่าให้ทีมงานฟังว่าเจออะไรมาบ้าง รู้สึกยังไง คิดยังไง ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นการ explore อะไรบางอย่างที่ถ้าไม่ได้ทำก็คงไม่ได้เห็น ตอนที่ตอบรับก็ไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปตรงไหนเหมือนกัน
รายการมีวิธีแบ่งโจทย์ให้พิธีกรแต่ละคนยังไง
คือพี่ๆ ทีมงานพื้นที่ชีวิตเขาค่อนข้างมองขาดว่าแต่ละคนเป็นแนวไหน เขาจะรู้ว่าผมไม่ใช่คนเเบบเข้าไปเสาะหา หรือพูดจากับคนขนาดนั้น พิธีกรทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพี่นิ้วกลม (สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์) หรือพี่สิงห์ (วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล) จะได้ทำในประเด็นที่เขาสนใจ ถ้าให้ผมไปทำสายเอ็กซ์ตรีมหนักๆ แบบพี่สิงห์ หรือไปสายปรัชญาแบบพี่นิ้วกลม ผมอาจทำได้ แต่คงไม่ได้เข้าใจหรือมีมุมมองที่ลึกซึ้งเท่าเขา ผมว่าของแบบนี้ต้องอาศัยวุฒิภาวะประมาณหนึ่งเหมือนกันที่จะแตกฉานในบางเรื่อง ซึ่งพี่ๆ แต่ละคนก็แตกฉานในทางของเขา ผมเลยกลายเป็นคุณลุงที่สนใจ eco และรักเด็กอนุบาลอะไรไปตามเรื่อง (หัวเราะ)
แต่บางครั้งประเด็นของผมมันก็เกินเลยไปถึงจุดที่ไม่คาดคิดเหมือนกัน แบบ ‘เห้ย มีงี้ด้วยเหรอ’ เหมือนได้เซอร์ไพรส์ตัวเองไปเรื่อยๆ ผมเชื่อนะว่าคนเราควรออกไปเจอความลำบากหรืออะไรที่ไม่เข้าใจบ้าง
แล้วไอ้ความลำบากกับความไม่เข้าใจที่เจอระหว่างทำสารคดี มันให้อะไรกับคุณบ้าง
มันทำให้ตระหนักว่าเราตัวเล็กนิดเดียว ซึ่งผมต้องการสิ่งนี้มาก เพราะการทำงานไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง พูดตรงๆ ว่าคนให้เกียรติเรา น่ารักกับเรา เต็มใจที่จะเจอเราไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม พอได้เดินทางไปทำสารคดี ผมคือใครก็ไม่รู้ คือคนๆ หนึ่งที่ต้องทำหน้าที่เหมือนคนอื่นๆ มันเหมือนผมถูกละลายพฤติกรรม
จริงๆ โลกมันกว้างมาก แล้วเราก็เป็นแค่คนธรรมดา เราไม่ควรแค่บอกตัวเองว่าชีวิตเราดี สบายแล้ว พอแล้ว เพราะความจริงคือยังมีคนที่เขาลำบากกว่าเรามาก เรื่องของเขาใหญ่กว่าเรื่องของเราอีก การได้ไปเห็นทำให้ผมไม่ตัดสินอะไรเร็วจนเกินไปว่าโน่นดี นั่นไม่ดี ขาวหรือดำ มันไม่ได้ชัดเจนแบบนั้นอีกแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ตามในชีวิต เรามองมันได้เฉียบขึ้น
เป็นธรรมชาติของคุณอยู่แล้วหรือเปล่าที่จะออกไปเจอโน่นเจอนี่ หรือเป็นเพราะงานพาไป
ผมไม่ได้เป็นคนเเบบนึกจะแบ็กเเพ็กก็ลุยไปเลย เคยมีโอกาสได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน แบ็กเเพ็กไปเชียงใหม่ เชียงราย แล้วข้ามไปลาวกับเพื่อนอีก 2 คน เข้าใจเลยที่เขาบอกว่าเวลาเที่ยวกับใครให้เที่ยวกับคนที่สนิทหรือเข้าใจกันจริงๆ
การอยู่กับใครแล้วไม่ต้องพยายามหาเรื่องคุยเป็นความรู้สึกที่ดีมากนะ กลายเป็นว่าผมกับเพื่อนคนนั้น เราข้ามเลเวลของการถามไถ่กันไปแล้ว บางทีไม่ต้องมีคำพูดก็รู้ว่าอีกคนคิดยังไง แต่ด้วยเวลาชีวิตของแต่ละคน ตอนนี้คงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นแล้ว โชคดีที่รายการนี้ให้โอกาสได้ลอง ได้เที่ยว ได้ไปสัมผัสจริงๆ เพราะปกติผมชอบอยู่บ้าน เป็นคนติดบ้านมาก ถ้าไม่มีงานแสดง ผมก็อยู่บ้าน หรือไม่ก็เข้าออฟฟิศ
นอกจากงาน passion ของกรรณมีอะไรอีกบ้าง
มันน่าจะเป็นการใช้ชีวิตในทุกๆ วันนะ สำหรับผม เพราะเวลาทำงานผมทำเต็มที่ ขณะเดียวกันเมื่อมีเวลาได้หยุดพักจริงๆ การแค่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยก็มีความสุขมากแล้ว หรือเวลานั่งทำงานเครียดกับเพื่อนในออฟฟิศแล้วผมอาสาไปซื้อกาแฟมาแจกเพื่อนก็เป็นการคลายเครียดอย่างหนึ่งแล้ว ออฟฟิศเก่าผมอยู่แถวทองหล่อ เป็นซอยแคบๆ การจะขับรถไปหาข้าวกลางวันกินเป็นอะไรที่ลำบากมาก ส่วนใหญ่ผมกับเพื่อนเลยชอบพากันซ้อน vespa ไปหาร้านข้าวตามซอกซอยไปเรื่อย เจอร้านไหนน่ากินก็แวะ
ผมว่าพอยิ่งโตขึ้น คนเราก็อยากสบายขึ้น อยากสัมผัสความลำบากน้อยลง บางทีความสุขมันก็ง่ายแค่การใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ กับคนที่เราสบายใจเท่านั้นเอง
ตอนนี้กำลังอินกับอะไรอยู่
ก็ตั้งแต่มี Netflix นี่ผมยิ่งไม่ค่อยออกจากบ้านไปไหนกว่าเดิมอีก กำลังอินกับสารคดีอาหาร ไม่ได้ดูด้วยเหตุผลเพราะอยากกินหรืออยากทำอาหารอะไรแบบนั้นนะ แต่ดูเพราะอยากเข้าใจคนที่เขาทำอาหาร ชอบดูความประณีต ดูความครีเอทีฟของเขา เพิ่งค้นพบว่าการเสพอะไรแบบนี้ก็มีความสุขดีเหมือนกัน
อีกอย่างคืออยากปั้นเซรามิก ผมเคยมีโอกาสไปเจอ ‘สวรรค์บนดิน ฟาร์มสเตย์’ โดยบังเอิญ ได้เจอกับเจ้าของไร่ซึ่งเขาปั้นถ้วยชาเอง ทำชาขาย จากพืชที่ปลูกเองในไร่ แล้วเปิดให้คนมาพักแบบฟาร์มสเตย์ การไปอยู่ที่นั่น ผมค้นพบว่ามันไม่ใช่แค่การปลูกชา หรือแค่การปั้น แต่มันคือ meditation คือระดับจิตใจแล้ว ผมอยากลองใช้ชีวิตอะไรแบบนี้มาก แต่ยังไม่มีโอกาส ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลา สิ่งที่ยากคือการคิดกับการลงมือทำนี่แหละ อาจเป็นข้อแย่ของเราที่ไม่มีเวลาทำสักที
ถ้าให้เปิดวาร์ปไปเป็นคุณลุงกรรณในวัย 70 คุณลุงคนนั้นน่าจะกำลังทำอะไรอยู่
โห ผมมีภาพอะไรประมาณนี้ตั้งแต่ผม 20 แล้วนะ เชื่อป่ะ เป็นคนแอดวานซ์เบอร์นั้นเลย ผมคงอยู่บ้าน เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงเต่า แล้วก็ปั้นดิน มีสวน ปลูกต้นไม้ อยู่กับแม่ จริงๆ ตอนนี้ก็เตรียมตัวทำแบบนั้นเรียบร้อย ถึงตอนนั้นก็พาแม่ไปอยู่ได้เลย ฟังดูเป็นภาพในอุดมคติมากนะ แต่ตอนที่ผมไปทำสารคดีเรื่อง eco village แล้วได้ไปเห็นการใช้ชีวิตประมาณนี้ มันเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ ในการที่คนเราจะใช้สิ่งที่มีอยู่รอบตัว แถมเขาก็มีงานประจำทำกันด้วยนะ แต่มีเวลาที่จะตื่นเช้า เอาของในสวนหลังบ้านมาทำอาหารเช้า
ยอมรับว่ามันคงยากสำหรับทัศนคติการทำงานหรือการใช้ชีวิตของคนที่นี่ แต่ผมว่าเราอาจ adapt มาใช้ได้ แต่ผมอยากมีชีวิตแบบนั้น มีเวลาให้คนที่รัก ให้สิ่งที่อยากทำ ผมเข้ามาด้วยความบังเอิญ ไม่ได้มีความตั้งใจว่านี่แหละคือสิ่งที่อยากเป็น แค่รู้สึกว่าทำได้ สุดท้ายโลกก็เล่นตลกกับเรา เพราะอะไรที่รู้สึกเขินอายหรือว่าทำไม่ได้ เรามักจะต้องไปทำเพื่อให้รู้ว่า เออ ก็ทำได้นี่หว่า คนเราควรมีเสต็ปไปเรื่อยๆ ผมไม่อยู่ที่เดิม ผมไปต่อ แต่อาจใช้เวลานานกว่าคนอื่นหน่อย (ยิ้ม)
RECOMMENDED CONTENT
Skrillex ศิลปินชาวอเมริกันสาย Electronics Sound กลับมาอีกครั้งในรอบ 1 ปี พร้อมเพลงใหม่ 'Rumble' ที่ได้ดีเจและโปรดิวเซอร์ดาวรุ่ง Fred again.. และ MC Flowdan มาร่วมงาน