หลายปีมานี้ การมาถึงของโลกดิจิทัลทำให้ชีวิตเราสะดวกง่ายดายขึ้น วิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่เองก็เช่นกัน เมื่อคุณสามารถทำงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าในร้านกาแฟ หรือแม้แต่บนรถไฟฟ้า และเมื่อลักษณะการทำงานเปลี่ยนไป หน้าตาของออฟฟิศแห่งยุค Millennial Generation จึงไม่ใช่ออฟิศแสนหดหู่ ที่บังคับให้ทุกคนมานั่งทำงาน 8 ชั่วโมง แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านอีกต่อไป แต่ออฟฟิศยุคใหม่ต้องนิยามไม่ต่างจาก ‘บ้าน’ หลังที่ 2 เลยทีเดียว
KOKUYO แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สำนักงานอันดับต้นๆ ในญี่ปุ่นที่เพิ่งมาเปิด Headquarter ประจำประเทศไทย ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้ว่าแบรนด์อายุ 112 ปีนี้ได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลากว่า 12 ปีแล้ว บนชั้น 9 ของ The Offices at Central World ก็เป็นอีกหนึ่งออฟฟิศที่ตื่นตัวสุดๆ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ออฟฟิศให้น่าอยู่ เพื่อสนองวิถีของคนเหล่าทำงานให้มากที่สุด ไปดูกันว่าบ้าน KOKUYO เขามีอะไรดี จนอยากนั่งทำงานยาวๆ ไม่ยอมกลับบ้านเลยก็ได้!
Space between us
แม้ว่าพื้นที่จะไม่กว้างมาก แต่ออฟฟิศสมัยใหม่ต้องเน้นพื้นที่ใช้สอยให้มากที่สุด และต้องให้ความรู้สึกไม่อึดอัดด้วย เมื่อเดินเข้ามาในออฟฟิศ KOKUYO เราก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศสบายๆ สว่าง ดูโล่งกว้าง จัดพื้นที่โต๊ะทำงานให้นั่งหลวมๆ ไม่แออัดจนเกินไป ใช้ตู้เก็บของติดผนังแบบบิวต์-อินเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องให้กว้างขึ้น กระจกกั้นห้องในการแบ่งโซนห้องประชุมและห้องครัวออกจากโซนโต๊ะทำงานให้ความรู้สึกว่าห้องดูกว้าง เป็นสัดส่วน แต่ไม่ทึบ เน้นโทนสีขาว เขียว เทา และดำ บวกกับเฟอร์นิเจอร์พวกโต๊ะ เก้าอี้ งานไม้ สีขาวและน้ำตาลอ่อน ให้ความรู้สึกอุ่นๆ ดูเรียบง่ายสไตล์มินิมอล แทรกแซมด้วยการเล่นกับดีไซน์เก้าอี้ไม่ซ้ำกัน สีสันสนุก แถมการใช้กระจกสลับกับผนังห้องก็ทำให้เห็นวิวสวยๆ 360 องศา ของเมืองจากมุมสูงได้ดีเยี่ยมเลยละ
No more stuck
เมื่อการนั่งอยู่กับที่ ไม่พูดไม่จากับใครไม่ทำให้คิดงานไม่ออก แถมทำเราซังกะตาย สวนทางกับคนทำงานยุคใหม่ที่ต้องติดต่อสื่อสาร พูดคุย ปฏิสัมพันธ์แบบทีมเวิร์ก สังเกตว่าออฟฟิศอย่าง KOKUYO เองก็บอกลาฉากกั้น (Partition) ที่แบ่งแยกโต๊ะทำงานออกจากกันไปเรียบร้อยแล้ว โดยดึงเอาไอเดียจาก Co-working Space ด้วยการใช้ Hot Desk หรือโต๊ะทำงานแบบอิสระ สุดฟรีสไตล์ ที่ไม่บังคับให้ใครต้องนั่งประจำที่ ไม่ว่าผู้บริหารหรือพนักงานทั่วไปก็สามารถยักย้ายเปลี่ยนมุมนั่งทำงานของตัวเองได้ตลอด เพราะบางตำแหน่งงานก็อาจไม่จำเป็นต้องนั่งประจำที่ตลอดเวลา ที่สำคัญทุกพื้นที่ยังต้องเชื่อมต่อ Wi-fi ได้เต็มที่ ซึ่งเจ้า Hot Desk นั้นฮอตฮิตมากในอังกฤษ ออสเตรเลีย รวมถึงเยอรมัน เพราะนอกจากแชร์โต๊ะทำงานกันเพื่อให้เกิดบทสนทนาใหม่ๆ แล้ว คุณอาจได้ไอเดียดีๆ จากการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนคนละแผนก เอากลับไปใช้ทำงานให้ปังกว่าเดิมอีกด้วย
No more sitting
แต่บางครั้ง Hot Desk อาจยังไม่พอที่จะทำให้สมองโลดแล่น เทรนด์ใหม่ล่ามาแรงที่หลายออฟฟิศทั่วโลกเริ่มหยิบมาใช้คือการยืน ทำงาน หรือ Standing Desk หรือที่เก๋กว่านั้นคือเปลี่ยนจากเก้าอี้ธรรมดาเป็นการนั่งทำงานบนลูกบอลไปเลย แบบที่เรียกว่า Ball Chair เพราะอย่างที่รู้กันว่าการนั่งทำงานท่าเดียวเป็นเวลานานๆ สุขภาพของเราย่อมพังแน่ๆ นอกจากการยืนทำงานกับเจ้าเก้าอี้ลูกบอลจะทำให้เราบริหารร่างกายโดยไม่รู้ตัวแล้ว ลองเปลี่ยนอิริยาบทบ้าง ก็อาจทำให้สมองลื่นปรื้ด!
Make yourself at home
เวลาเราเห็นสำนักงานของบริษัทชั้นนำระดับบิ๊กทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Airbnb หรือแม้แต่บริษัทเอเจนซี่หลายแห่งในบ้านเราตอนนี้ มักจะรู้สึก ‘ว้าว’ กับแนวคิดการออกแบบสำนักงานให้อิงกับวิถีของคนทำงานเป็นหลัก ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญคือการนิยามคำว่า ‘ที่ทำงาน’ ให้เป็นเหมือน ‘บ้าน’ หลังที่ 2 ด้วยการเพิ่มพื้นที่โซนสันทนาการ เช่น โต๊ะพูล เกมฟุตบอลโต๊ะ เครื่องดนตรี ห้องสมุด บาร์เครื่องดื่ม หรือคาเฟ่เล็กๆ บางออฟฟิศอาจมีสวัสดิการเก๋ไปกว่านั้น อย่างบริการนวดผ่อนคลาย บางแห่งถึงกับมี Sleep Pod ให้พนังงานหลบไปงีบได้ด้วย! ที่ออฟฟิศ KOKUYO เองก็แคร์คนทำงานเช่นกัน โดยแบ่งโซน Relax ให้พนักงานได้นั่งจิบกาแฟบน Stool สีจี๊ดที่ไม่จำเป็นต้องเข้าชุดกัน ช่วยกระตุ้นความครีเอทีฟให้พุ่งพล่าน แถมได้ดูวิวสวยๆ ของกรุงเทพฯ ไปพลางอีก บอกตรงๆ ว่าอิจฉามาก!
Hello from the outside!
นอกจากหมดยุคการนั่งทำงานอยู่กับที่ ออฟฟิศยุคใหม่ยังต้อง Go Green ด้วย เทรนด์ที่ออฟฟิศทั่วโลกต่างพยักหน้าให้ที่สุดตอนนี้ เห็นจะเป็นการนำแนวคิด Sustainable-living มาปรับใช้ในองค์กรของตัวเอง อย่าง ‘Second Home Lisboa’ ในสเปน ที่เปลี่ยนโกดังขายผลไม้เก่าแก่ในเมืองลิสบอน ให้กลายเป็น Co-working space ที่เต็มไปด้วยต้นไม้กว่า 1,000 ต้น ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งทำงานอยู่ในป่าย่อมๆ เลยละ ซึ่งนอกจากต้นไม้จะช่วยให้ความสดชื่น ตัดเสียงรบกวนจากภายนอกอาคาร ยังช่วยฟอกอากาศภายในอาคารให้สะอาดขึ้นด้วย
โมเดล Sustainable-living นั้นไม่ยากเลยหากใครอยากนำมา Adapt ใช้กับออฟฟิศตัวเอง ในออฟฟิศ KOKUYO เอง ไม่เพียงเพิ่มพื้นที่สีเขียวสบายตาด้วยต้นไม้แขวนผนังไม้ใบในกระถาง และยังใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น แต่ยังรวมไปถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระจกกันความร้อนจากภายนอกอาคาร เพื่อลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ หรือการออกแบบให้มีแสงจากธรรมชาติเข้ามาในเวลากลางวันแทนการเปิดไฟให้ แบบนี้ยิ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีเริ่ดมากๆ
Base on purpose
สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะทำให้ออฟฟิศน่าอยู่ ไม่เพียงแค่ดีไซน์ล้ำ แต่คือการ ‘คิด’ จาก People ควบคู่ไปกับ Design แบรนด์ KOKUYO ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเฟอร์นิเจอร์สำนักงานมานานกว่า 100 ปี คิดค้น Living Solution เพื่อชีวิตของคนทำงาน แนวคิดของเฟอร์นิเจอร์ทุกตัวในออฟฟิศจึงมีที่มาแตกต่างกันออกไปตามการใช้งาน อย่างเก้าอี้รุ่น Airfort ที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่น ซึ่งไม่เพียงพิถีพิถันตั้งแต่การคิด การเลือกใช้วัสดุ จนถึงขั้นตอนการผลิต ที่ได้ไอเดียจากคำว่า ‘Air’ ออกแบบให้ด้านหลังของพนักสามารถปั้มลมเข้า-ออก เพื่อรองรับช่วงโค้งของหลัง และสามารถปรับได้ตามสรีระของคนนั่ง เวลานั่นจึงรู้สึกสบายกว่า เหมาะกับการเป็นเก้าอี้ของพนักงานที่ต้องนั่งพิมพ์งานตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกเมื่อย ซึ่งที่ออฟฟิศ KOKUYO Thailand เองก็นำเจ้ารุ่น Airfort นี้มาใช้เป็นเก้าอี้สำหรับห้องประชุมเช่นกันเพื่อการนั่งคุยงานกันได้สบายๆ ไม่เมื่อย ไม่เพียงแค่นั้น KOKUYO ยังคิดไปถึงเก้าอี้-โต๊ะสำหรับพนักงานที่ไม่ต้องประจำอยู่ออฟฟิศด้วย หรือหากใครอยากนั่งเปลี่ยนอารมณ์ไปนั่งทำงานในมุมเงียบๆ ก็สามารถเลือกเก้าอี้อาร์มแชร์นุ่มสบายส่วนตัวได้อีก สิ่งเหล่านี้ แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ KOKUYO ก็ไม่มองข้าม เพราะสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้นี่แหละ หมายถึง ‘ความสุข’ ของคนทำงานอย่างเราๆ และเมื่อพนักงานมีความสุข ไอเดียดีๆ มีหรือจะไม่พลุ่งพล่าน!
หากใครอยากแวะมาเยี่ยมออฟฟิศแนวคิดดีๆ แบบนี้ บ้าน KOKUYO เขาก็ยินดีเปิดบ้านต้อนรับ เผื่อจะได้ไอเดียเจ๋งๆ กลับไปเปลี่ยนออฟฟิศของคุณดูบ้างไงล่ะ!
KOKUYO Thailand
ชั้น 9 The Offices at Central World
โทร. 02-264-5100-3
Website: http://www.kokuyo-furniture.com/
Facebook: https://www.facebook.com/Kokuyothailand
Instagram: KOKUYO Thailand
—
RECOMMENDED CONTENT
เพลงนี้เล่าถึงแรงเสียดทานในชีวิตที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอแรงเสียดทานนี้ ที่เกิดขึ้นจากการกดทับโดยบริบททางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันในแบบต่าง ๆ ที่คนคนหนึ่งต้องเจอ เพราะถึงแม้จะนับ 1 ถึง 100 เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสงบใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งสิ่งนี้มันก็อาจจะเกินกว่าที่จะทนไหว และปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้ออกมาก็เป็นได้