fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#KOREANWAVE — JAY PARK จาก Idol สู่ Icon ของการยืนหยัด ต่อสู้ และสร้างพื้นที่ของตนเอง
date : 2.มีนาคม.2018 tag :

“สำหรับผมการเป็น Asian–American ทำให้ผมถูกมองว่าเป็นคนนอกมาเสมอ ผมต้องต่อสู้เพื่อหาพื้นที่ของตนเองมาตลอด”

ทุกวันนี้หลายคนรู้จัก Jay Park ในฐานะศิลปินและเจ้าของค่าย AOMG, H1GHR MUSIC ค่ายฮิปฮอปใต้ดินที่ฮอตที่สุดค่ายหนึ่งในเกาหลีใต้ ล่าสุดเขาเป็นศิลปิน Asian–American คนแรกที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง Roc Nation (ค่ายของ JAY-Z, Rihanna, Mariah Carey และอีกสารพัด) ความสำเร็จในเวลานี้คงบอกได้ว่า Jay Park เหมือนจะหาพื้นที่ของตนเองเจอเเล้ว

ดู๊ดดอทไม่แปลกใจว่าทำไม Jay Park ถึงถูกยกย่องว่าเป็นไอค่อนของคนรุ่นใหม่ที่สร้างอยากสร้างชื่อเสียงได้ด้วยตนเอง เพราะเส้นทางศิลปินของ Jay Park มันไม่ง่าย เขามีอุปสรรคครั้งใหญ่ที่ต้องฝ่าฟันและผลักดันให้ชื่อเขาเป็นที่จับตาในวงการ K-Pop อยู่ตลอดเวลา

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 แฟนเพลงเกาหลีได้รู้จัก Jay Park ครั้งแรกในฐานะหัวหน้าวง 2PM บอยแบนด์ของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง JYP พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วตั้งแต่เพลงแรกที่เดบิวต์ ชื่อเสียงอันโด่งดังทำให้เขาถูกจับจ้องจากผู้คนมากมาย มันมีทั้งสายตาที่มองมาอย่างชื่นชม ให้กำลังใจ และสายตาที่มองมาอย่างเคลือบเเคลง สงสัยและคอยจับผิด

ตั้งแต่เด็ก Jay Park ไม่เคยใช้ชีวิตในเกาหลี เขาคือเด็ก Asian–American ที่เกิดและเติบโตมาในรัฐ Seattle การเดินทางมาเกาหลีใต้ของเขาครั้งแรกไม่เชิงเป็นการตามความฝัน แต่มันคือความหวังที่จะแบ่งเบาภาระของครอบครัว ความเป็น American Boy เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันมันก็การเป็นเป้าที่ผู้คนเข้าไปโจมตี

ปี 2009 มีหนึ่งในข่าวใหญ่แห่งปีของวงการ K-Pop ที่หลายคนยังไม่ลืม Jay Park ถูกขุดคุ้ยข้อความใน MySpace ที่เขาเขียนเมื่อปี 2005 ช่วงที่ย้ายมาเกาหลีใหม่ๆ มันคือข้อความที่เขาระบายความถึงความยากลำบากเขาในช่วงที่เป็นเด็กฝึกในวัฒนธรรมที่เขาไม่คุ้นเคย

“ผมเป็นเด็กฝึกที่เกาหลีประมาณ 3 ปีครึ่ง มันเป็นเหมือน Boots Camp ที่เด็กฝึกจะได้รับการพัฒนาการเต้น  การร้อง มันช่วยผมได้เยอะมากแต่ขณะเดียวกันมันก็ทำลาย passion และความคิดสร้างสรรค์ของผม มันเหมือนบางอย่างที่คุณถูกโปรแกรมมา ให้ร้องแบบนี้ ทำแบบนี่ แล้วเวลาผ่านไปคุณก็จะเริ่มสูญเสียเอกลักษ์ของตนเอง มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดในชีวิตของผม ผมมาเกาหลีคนเดียว ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน พูดเกาหลีไม่ได้ ผมร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก”

“มันมีวัฒนธรรมบางอย่างในเกาหลีเวลานั้น มันมีอะไรแบบที่ ถ้าคุณร้องเพลงผิด คุณเต้นผิด คุณจะรู้สึกว่าถูกด่าแน่ๆ เดี๋ยวนี่มันไม่มีแล้ว มันดีขึ้นมาก แต่เมื่อก่อนมันมีอะไรที่ ‘You motha f*ck’  ซึ่งผมไม่โดนทำอะไรเเบบนั้นนะ เพราะผมเต้นเก่ง แต่ผมเห็นคนข้างๆ ของผมทำพลาดแล้วเขาก็โดนฟาด หลายๆ อย่างมันค่อนข้าง culture shock”

“ตอนนั้นผมยังเด็กและผมเต็มไปด้วยความไม่รู้ ผมระบายความรู้สึกบางอย่างลงไปใน MySpace แล้วมันก็ถูกขุดขึ้นมา มันคือคำเเสลงที่เราพูดกันที่นี่ (อเมริกา) แต่พอมันแปลเป็นภาษาเกาหลี ก็ค่อนข้างจะ… แล้วพวกเขาก็บอกว่า Jay Park เหยียดเชื้อชาติ Jay Park ไม่ชอบประเทศเกาหลี”

ชาวเน็ตเกาหลีหรือ K-Netizen เป็นที่ขนานนามถึงความร้ายกาจ พวกเขาไม่เพียงแค่โจมตีอดีตของ Jay Park แต่หลายข้อความเรียกร้องให้เขารับผิดชอบข้อความในวัยเยาว์ บางคนบอกให้เขาพักงาน ออกจากค่าย ออกจากวงการไป บ้างก็ไล่ออกไปจากประเทศ มีข้อความโหดร้ายถึงขั้นบอกเขาให้ไปตาย ในเวลานั้น Jay Park ตัดสินใจออกจากวง 2PM เขากลับไปอยู่ Seattle ทุกคนต่างคิดว่าเขาหันหลังให้วงการบันเทิงไปเสียแล้ว

แต่การกลับมา Seattle ไม่ใช่การยอมแพ้ มันเป็นเหมือนการกลับมาพักฟื้นร่างกายในวันที่คุณมีบาดแผล ช่วงต้นปี 2010 กระแสที่มีต่อ Jay Park ในอินเตอร์เน็ตเริ่มเปลี่ยน มีหลายคนเข้าใจว่าข้อความทั้งหลายแปลออกมามีความหมายคลาดเคลื่อน และขณะเดียวกันก็ยังมีแฟนๆจำนวนมากที่เฝ้ารอการกลับมาของเขา ในที่สุดเราก็ได้เห็นใบหน้าของ Jay Park อีกครั้งกับคลิป Cover เพลง Nothing On You ที่มีผู้ชมมากว่า 2 ล้านวิวภายใน 24 ชั่วโมง

“วันที่ผมอัพโหลด Nothing On You บน Youtube ทุกคนรอบข้างต่างเป็นห่วงผม ครอบครัวของผมไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้ ทุกคนกังวลว่าผมจะได้รับเสียงกระแสลบๆ กลับมา แต่ในเวลานั้นผมรู้สึกว่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับผม  นี้มันไม่ใช่กลยุทธ์หรืออะไรที่จะบอกว่านี่คือการ come back ของ Jay Park มันคือการแสดงออกอย่างหนึ่ง แล้วในตอนนั้นใครๆ ก็ทำคลิป cover

ผู้คนมักจะกลัวในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ทุกคนมักจะเลือกทำสิ่งที่เขาคุ้นเคยเพราะมันปลอดภัย แต่โดยส่วนตัวเเล้วเส้นทางที่ปลอดภัยไม่เคยเป็นสิ่งที่ผมเลือก ผมมักเชื่อในสัญชาตญาณของตนเองและถ้าผมรู้สึกว่ามันถูกต้องสำหรับผม ผมจะทำมัน แล้วหลังจากนั้นมันจะทำงานด้วยตัวของมันเอง”

ทันทีที่คลิป cover เผยแพร่ออกไป Jay Park ก็ได้รับการติดต่อจากเหล่าค่ายเพลงในเกาหลีทันที “พวกเขาคงคิดว่าเด็กนี่มันมีของ คนยังต้องการผมอยู่”

การกลับมาเกาหลีใต้ครั้งนี้ตัวตนของ Jay Park ชัดเจนมากขึ้น passion อันแรงกล้าในฐานะ creator ทำให้เขาผ่านงานแทบจะทุกอย่างที่อยู่ในวงการบันเทิง นักร้อง นักแสดง แดนเซอร์ แร็ปเปอร์ รายการโชว์ ไปจนถึงสร้างค่ายเพลงของตนเอง “มันไม่ใช่เพราะผมอยากเป็นคนดัง เป้าหมายแรกของผมคือทำในสิ่งที่ผมมี passion กับมัน – การเต้น, ฮิปฮอป, R&B

แต่ขณะเดียวกันผมก็อยาก support ครอบครัวและเพื่อนของผม ผมอยากสร้างพื้นที่ สร้างโอกาสให้ตัวเองและคนที่ผมเชื่อในตัวเขา มันทำให้ทุกอย่างที่ผมทำมีความหมาย ผมอยากทำสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ให้มันยิ่งใหญ่ขึ้น ผมเชื่อว่าถ้าผมแชร์ positive energy ให้พวกเขา เขาจะจากส่งต่อ positive energy ไปให้คนอื่นๆ แล้วหวังว่ามันจะเปลี่ยนโลกเราไปทีละเล็กทีละน้อย”

“มันเป็นคำพูดที่โคตร cliché แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะผมเชื่อในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณเชื่อในอะไรซักอย่าง ผลของมันอาจจะไม่ได้กลับมาในทันที ในตอนแรกเพลงที่ผมทำ กลุ่มคนที่ผมรวบรวมมา คนใกล้ตัวผมมักถามว่านี่มันไม่ทำเงินเลย ทำไมนายถึงทำมัน พวกเขาไม่ใช่ศิลปินชื่อดัง ไม่ใช่โปรดิวซ์เซอร์ชื่อดัง ทำไมนายยังทำงานกับพวกเขา แต่ทุกอย่างที่ผมได้ทำไปมันกลับคืนมาหาผม 5–6 ปีให้หลัง

ผมแค่รู้สึกว่า คุณต้องทำมันอย่างดีที่สุด ทำงานอย่างหนัก ทำมันอย่างสม่ำเสมอ แล้ววันหนึ่งคนจะมองเห็นความจริงใจของเราและคนจะเห็นคุณค่าของของงาน”

RECOMMENDED CONTENT

14.มิถุนายน.2019

ทรู ดิจิทัล พาร์ค เปิดบ้านให้เราเข้าไปเยี่ยมชม Work Space ที่เชื่อในแนวคิด Open Innovation ซึ่งสนับสนุนการทำงานในโลกยุคใหม่ที่ไม่ต้องมีออฟฟิศประจำ แต่ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างอิสระใน Sharing Space ที่มีหลากหลายองค์กรอยู่ร่วมกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดบทสนทนา เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ ช่วยสร้างคอมมิวนิตี้ของคนทำงานเข้าด้วยกัน