‘โอ๋ หทัยรัตน์ เจริญชัยชนะ’ หรือที่เราๆ รู้จักกันดีในชื่อ ‘โอ๋ ฟูตอง’ ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยพลัง หากจริงๆ แล้วนอกจากเล่นเป็นมือเบสแห่งวงยุค 90’s แล้ว เราจะเห็นว่าเธอทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง ทั้งวาดรูป ออกงานแฟชั่นทั้งในฐานะ influencer และดีไซน์เนอร์ตามสไตล์ที่เธอถนัด แล้วเรายังเห็นเธอในบทบาทคุณครูลูกตาล จากซีรีย์วัยรุ่น ‘ฮอร์โมน’ เคยสงสัยไหมว่าจริงๆ แล้ว เธอทำอาชีพอะไรกันแน่ แล้วตอนนี้ชีวิตคุณครูลูกตาลของเด็กๆ กำลังทำอะไรอยู่ เราลองเลื่อนลงไปอ่านกัน
ให้คำจำกัดความกับอาชีพตัวเองว่าอะไร?
เราเป็นคนที่ทำอะไรได้หลายอย่างที่เราสนใจ แต่ทุกอย่างมันก็อยู่บนพื้นฐานของ “ศิลปะ” เพราะฉะนั้นไอ้คำว่าศิลปะมันก็กว้างมาก เผอิญเราชอบฟังเพลง ชอบเล่นดนตรี ชอบเล่นคอนเสิร์ตมันก็เลยไปทางดนตรี แล้วดนตรีเกี่ยวอะไรกับศิลปะ? คือจริงๆ เราจะบอกว่าวิธีคิดมันคล้ายกัน เวลาเราทำงานเราคิดเป็น “ภาพ” เขียนเพลงแล้วก็คิดเป็นภาพ แต่งเพลงเราก็คิดเป็นภาพ การเรียบเรียงของสมองเราจะออกมาเป็นภาพซะมากกว่า ตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะทำอะไรก็จะเห็นเป็นภาพก่อน เล่นละครเล่นหนังมันจะเห็นเป็นภาพหมด
แต่เราจะค่อนข้างที่จะเปิดกว้างให้กับในหลายอย่างเช่น เราชอบเพ้นติ้งนะแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องเพ้นติ้งอย่างเดียว จริงๆ อาชีพเราตอนนี้มันก็ไปตามอายุ จะให้เล่นดนตรี เล่นคอนเสิร์ตหนักๆ ตอนนี้มันก็ไม่ไหวแล้ว ครั้งล่าสุดที่เล่นก็เหนื่อยมาก รู้สึกว่าแก่ แบบเวทีใหญ่ๆ เนี่ยเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยแบบ…ให้เด็กๆ เล่นไปเถอะ วันนึงอาจจะกลับมาทำนะ แต่คงไม่ใช่เพลงร็อกเหมือนเดิม ทั้งที่เราเป็นคนชอบเพลงร็อกมาก ก็อาจจะเป็นกีตาร์ตัวหนึ่งแบบนี้
ส่วนตอนนี้เราเขียนหนังสือมาได้หลายปีแล้วโดยเริ่มจริงจัง แต่ชีวิตมันพาเราไปเล่นคอนเสิร์ตบ่อย ไปเมืองนอกบ่อย เราก็เลยเขียนหนังสือท่องเที่ยวลงแม็กกาซีนมาหกปี ต่อมาก็ลองรวมเล่มพอเริ่มเป็นรูปร่าง ก็รู้สึกว่าฉันทำหนังสือได้จริงๆเพราะทำหนังสือได้ปุ๊บเราก็เริ่มคิดเริ่มทำหนังสืออื่นๆ เช่น อาหาร เราสอนทำอาหารที่ง่ายมากๆแบบที่ว่าทำยังไงให้ชีวิตคอนโดมันมีความสุขได้แบบไม่ต้องกินข้าวกล่องอย่างเดียว จนตอนนี้เรามีหนังสือใหม่ออกมา 2 เล่ม ก็คือหนังสือเด็กที่เป็นเด็กเล็กเลย แบบ A B C D 1 2 3 เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอันนี้เป็นงานใหม่ล่าสุด เห็นไหมว่ามันก็เป็นตามอายุ และความสนใจช่วงนั้น แต่ในที่สุดมันก็อยู่บนพื้นฐานของศิลปะ
เรารู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าต้องเป็นศิลปะ?
เรารู้ตัวตั้งแต่จับดินสอ เราไม่ได้เขียนหนังสือก่อนแต่เราวาดรูปก่อน คุณนึกออกไหม? ในห้องเรียนมันจะมีตัวเก่งเป็นบางเรื่อง แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไอ้นี่ตัวเรียนเก่ง ไอ้นี่เล่นกีฬาเก่ง แต่เราจะเป็นไอ้ตัวเก่งศิลปะ เป็นตัวที่โดนครูส่งประกวด เราว่าอาจจะได้มาจากพ่อมาจากแม่ เพราะว่าพ่อแม่เราเก่งศิลปะ มันทำเรายิ่งชอบ วาดรูปออกมามันก็ดูดี และมันมีคนคอยสนับสนุน เราก็เลยทำศิลปะมาตลอด ทำอะไรก็ได้ ไปเป็นตัวแทนประกวดตั้งแต่เด็กแล้ว เวลามีผู้ใหญ่มาถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? คนนั้นคนนี้ เค้าบอกว่าอยากเป็นทหาร อยากเป็นตำรวจ แต่ตอนนั้นเราใช้คำว่าอยากเป็นคนวาดรูป
มันทำเป็นอาชีพได้?
เราไม่รู้หรอก แต่เราทำไปเรื่อยๆ ด้วย passion ล้วนๆ เราจัด Exhibition เราก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีใครมาดู แต่อย่าง Exhibition เมื่อปี 2006 ก็มีคนจากแม็กกาซีนมาดู กลายเป็นว่าเราก็ได้งานจากเขา เขาก็อยากให้เราไปวาด เราก็บอกว่า “อ้าวได้รับโอกาสมา ก็ทำสิ” แต่สิ่งที่ผกผันเราจริงๆ คือการเปลี่ยนอาชีพที่ทำมาหากิน ก็คือเรามีอาชีพเป็นสไตล์ลิส ที่เป็นตัวทำเงินให้เราอย่างมั่นคงทุกเดือน ทำงานโฆษณา จัดเสื้อผ้า ซึ่งเราเลิกงานนี้ไม่ได้เพราะมันเลี้ยงเรา แล้วเราก็เหนื่อยมากนอนดึกตื่นเช้า เรารู้สึกเหนื่อย
พอเราเหนื่อยเราก็ไม่ได้วาดรูป มีวันหนึ่งพี่สาวเราเดินมาบอกว่า “โอ๋ ! แต่ถ้าแกไม่เลิกอันนึง แกจะไม่ได้เริ่มอีกอันนึง” เราก็เลยคิดว่าลองไม่มีเงินดูสักเดือนสองเดือนดีไหม ซึ่งตอนนั้นวาดรูปยังไม่ได้เงินอะไรมากนะ ได้พันนึงอะไรแบบนี้ แต่เราก็ทำเพราะเรารู้สึกว่ามันสนุกมาก และที่สำคัญคือเราไม่เหนื่อยกับการวาดรูป นอนตีสี่ ตีห้าเราก็ไม่รู้สึกเหนื่อย และเราก็เริ่มวาดรูปตั้งแต่นั้น แต่! เราก็ยังอยู่วง Futon ไง ก็มีไปเล่นคอนเสิร์ตก็ได้ตังบ้าง คือชีวิตก็ไม่ได้ยาก แต่มันก็คือการตัดสินใจที่จะกระโดดจากอาชีพที่มั่นคง ซึ่งอาชีพนักดนตรีมันก็ไม่มั่นคงนะ เพราะของเรามันก็เป็น “อินดี้” อย่างเล่นหนังนานนานก็ได้เล่นที
นักวาดภาพมีวิธีการพัฒนามิติของตัวเองอย่างไร?
ใช่ มันคือมิติของงาน! จริงๆ อย่างที่บอกคือเราทำไปเรื่อยๆ เราว่าศิลปะทำไปเรื่อยๆ คือการพัฒนาอย่างหนึ่ง คุณวาดไปเรื่อยๆ ลายเส้นอะไรมันก็มาเองนึกออกไหม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนหรือพัฒนามิติในงานของเราคือ เทคโนโลยี คือเราเป็นคนโลวเทคมาก ทำอะไรไม่เป็นเลย สแกนภาพยังทำไม่เป็นเลย จนกระทั่งเราต้องทำงานต้องส่งงานลูกค้า ทีนี้ทำไม่เป็นก็ไม่ได้แล้ว เพราะมันต้องส่งงาน ก็เลยพยายามเรียนรู้เอง ไม่ได้ไปเรียนด้วยนะโฟโต้ช็อปคืออะไรอ่ะ เราไม่เคยสนใจเลย ก็เลยฝึกเองทำเอง จนกระทั่งตอนนี้เราแบบไม่ต้องมองก็ทำได้มือนี่แบบ ปุ๊บปุ๊บ แต่มันคือการทำทุกวันเป็น 15 ปีอ่ะ มันบังคับให้เราต้องดูเพิ่มไปเรื่อยๆ อย่างก็เจอที่ว่า “เฮ้ย! เราทำไม่ได้แล้วทำไมคนอื่นทำได้วะ?” เราก็ต้องไปนั่งหา จนเราทำงานสนุกขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เราจัด artwork เองได้แล้วนะ ซึ่งพอเรา control ได้ทุกอย่างงานมันก็ออกมาเป็นสไตล์เราเองจริงๆ
แฟชั่นมีบทบาทในงานศิลปะของเราไหม?
มีที่สุด! ถ้าสังเกตในงานของเรา มันจะมีแฟชั่นอยู่ด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของตัวละคร ในงานของเรามันมีความสำคัญมาก อย่างที่เราบอกว่าพื้นฐานทุกอย่างมันมาจากสถานที่เดียวกัน ก็คือความเป็นศิลปะ แฟชั่นคือศิลปะ 100% เลยนะ มันคืองานอาร์ตชนิดหนึ่ง ทุกวันนี้เราอยู่บ้านแต่งตัวเราก็มีความสุข เราก็สนุกกับการแต่งตัวนะ หรือเราไปงานนอกก็มีความสุขนะ เราแฮปปี้ที่จะได้แมทช์ชุดนั้นนี้ มันคือศิลปะบนตัวเรา ได้แต่งเพลงมันก็คือศิลปะ ที่ทำอัลบั้มสุดท้ายที่เราทำกับแกรมมี่ เราคุยกับทางค่ายว่ามันจะไม่ใช่แค่เพลง มันจะเหมือนงานศิลปะหรืองานอาร์ตเอ็กซิบิชั่นชุดเล็กๆ ทำได้ไหม? เค้าบอกว่าได้ มันคืองานเอ็กซิบิชั่นงานหนึ่ง ที่มีองค์ประกอบทุกอย่าง ทั้งภาพ เสียง เป็นก้อนเดียวกัน
คนที่มีอิทธิพลกับงานของโอ๋?
เอาจริงๆเราว่าไม่มีตายตัว สำหรับเรามันอยู่ที่ว่าตอนนั้นเราสนใจเรื่องอะไร แต่ก่อนเราจะออกว่า “กุสตาฟ คลิมต์” เขาคือบิดาแห่งการวาดรูปของเรา เหมือนตอนเรา ป.5 เราเปิดนิตยสารเล่มหนึ่ง เราเจองานของกุสตาฟ คลิมต์ มันทำให้เราอยากวาดรูป นี่คือคนที่เราใช้ตอบคำถามนี้มาเสมอ แต่หลังจากนั้นมันไม่มีจริงๆอยู่ที่ว่าช่วงนี้เราชอบสไตล์นี้ เราอยากรู้เรื่องคนนี้ เราสนใจใคร แต่ถ้าถามว่าใครคือไอดอลของเรา? เราจะตอบว่าพ่อกับแม่เรามีชีวิตเหมือนพ่อกับแม่ ไม่เคยวางแผนอะไรเหมือนกัน มันคือการทำสิ่งที่รักไปเรื่อยๆ เค้าทำเสื้อผ้าแต่เค้าไม่เคยเรียนดีไซน์ มาพ่อแม่ดีไซน์เอง พ่อแม่เราจับคู่สีได้อย่างไรเรายังไม่รู้เลย เค้าใช้ประสบการณ์ใช้ความรู้สึกเราว่าครอบครัวเราค่อนข้างใช้ความไอ้นี่สูงเขาเรียกว่าอะไรนะ sense เชื่อใน sense ของตัวเองมาก มันไม่ค่อยมีหลักการ
เทคโนโลยีทำให้ style เราเปลี่ยนใหม่?
มันทำให้เราเปลี่ยนชีวิต มันทำงานได้ทุกที่ style มันไม่ถึงขั้นเปลี่ยน แต่ปรับ style เราให้หลากหลายมากขึ้น และมีโอกาสมากขึ้น เช่นมันมีความจำกัดสำหรับคำว่าเพ้นติ้งในแง่ของการทำงานนะ ซึ่งเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำอะไรได้หลากหลายอย่างมากขึ้นแน่นอน
อุปกรณ์อะไรที่เราขาดไม่ได้ในการทำงาน?
มันจะแบ่งแบบนี้ อย่างแรก ‘เพียวอาร์ต’ เราต้องมีพู่กันกับสี โดยที่ดินสอไม่ต้องมีก็ได้ เราลงสีได้เลย และคอมพิวเตอร์กับ sketch pad (เมาส์ปากกา) และมีจอมอนิเตอร์ LG Ultra HD 4K Monitor เจ้าเมาส์ปากกานี่เหมือนมือที่สาม ส่วนปกติใช้แลปท็อปตัวมันเล็กไปเวลาวาดรูปมันมองไม่เห็น มันน่ารำคาญ ต้องใช้จอมอนิเตอร์ เพราะว่ามันสามารถเทียบสีได้ เทียบรูปได้ เปิดหลายหลายหน้าในอันเดียวได้ รู้มั้ย? เวลาทำงานมันสำคัญมากที่ต้องมีภาพที่ชัดเวลาส่งงานทั้งรูปและสีมันเพี้ยนไม่ได้หรอก และหน้าจอมันต้องดี
มีอะไรอีก?
เราเป็นคนไม่มีทีวี มันสำคัญมากไอ้จอ LG Ultra HD 4K Monitor นี้ เชื่อไหมว่าเราต่อสายทีวีไม่เป็น เจ้าจอนี่เลยเป็นหลายๆอย่าง ทั้งดูหนัง ดู YouTube ดูรูป ทำงาน หรือแม้แต่ทางรายการทีวี เราก็มาดูผ่านจอนี้
เพราะฉะนั้นแน่นอน ทำงานมันต้องใช้อยู่แล้ว ต้องหาข้อมูล เช่น ถ้าสมมุติเราวาดแมลงตัวหนึ่ง เราก็ต้องหาว่าเจ้าแมลงนั้นมันหน้าตาเป็นยังไง สีของมันมีอะไร บางครั้งเราต้องใช้ถึงสองมอนิเตอร์จริงๆ ดูไปด้วยวาดรูปไปด้วย จอเล็กๆนี่ทำงานไม่ได้หรอก หรือว่าเปิดเพลงไปด้วยทำงานไปด้วยก็ได้ มันต้องใช้อยู่แล้ว รวมทั้งดูหนังด้วย เธอรู้ไหมว่าเราติดซีรี่ย์เกาหลีมาก . . . ?
มีอีก?
สิ่งที่เราชอบมากสำหรับ LG Ultra HD 4K Monitor นี่อีกอย่างหนึ่ง คือ นอกจากฟังก์ชันแล้ว หน้าจอมันไม่สะท้อนแสง ไม่เหมือนพวกจอคอมพิวเตอร์ทั่วไป ที่มันจะสะท้อนแสง ซึ่งมันจะน่ารำคาญมาก อันนี้เราชอบมาก อย่างเช่น เรามีพาร์ทหนึ่งที่เราวาดรูปบนรูปถ่ายกับ “เจ้าเหมียว” ซึ่งเจ้าตัวนี้มันจะเดินทางไปกับเราด้วยทั่วโลก มันจะทำงานสะดวกมาก
และถ้าเราต้องไปต่างจังหวัดเจ้าตัวนี้เราสามารถใส่รถเอาไปทำงานได้ เพราะมันมีฟังก์ชั่น FreeSync เราสามารถยกจอไปแล้วเสียบกับอะไรก็ได้ เห็นใหญ่ขนาดแบบนี้แต่มีน้ำหนักเบานะ แล้วทำงานได้เลย มันทำให้เราทำงานได้ทุกที่ และจอมอนิเตอร์ที่ใหญ่ทำให้ทำอะไรได้หลายหลายอย่างพร้อมกัน เพราะฉันเป็นคนทำอะไรหลายหลายอย่างพร้อมกัน! อาจจะวาดรูปไปด้วยทำเพลงไปด้วย และ chat ไปด้วย มันเหมือนกับชีวิตเราเองที่เราทำอะไรหลายอย่างทั้งวาดรูป เล่นคอนเสิร์ตหรือว่าทำแฟชั่นมันเข้ากับชีวิตเรามากๆ
ต่อไปโอ๋ฟูตองจะทำอะไรครับ?
อย่าถาม! ตอบไม่ได้เลย! มันคือการทำงานไปเรื่อยๆ สำหรับเรามันไม่เคยเกิดจากเราคนเดียว มันคือเอฟเฟ็คของคนที่มาชวนเรา เราจะมีดวงเรื่องนี้ ที่จะมีคนมาชวนเราทำโน่นนี่ตลอด จริงๆแล้วอย่าเรียกมันว่าดวง มันคือสิ่งที่เราทำมาเป็น 10 ปี อย่างเช่น เมื่อวานเรานั่งทำความสะอาดห้องอยู่ ก็มีพี่นักเขียนคนหนึ่งมาบอกว่า “เฮ้ยเย็นนี้ว่างไหมมาคุยกันหน่อยสิ” แล้วเค้าก็บอกว่าอยากชวนเราไปเขียนหนังสือด้วย ไปเมืองนอกกัน เราก็บอกว่า “พี่ดังขนาดนี้ พี่มาชวนโอ๋ทำไม?” แบบว่าอยู่ๆเราก็ได้งานที่ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีโอกาสได้ทำ มันคือการสะสมที่ทำให้ทุกอย่างของเรา จะเป็นอย่างนี้เสมอ มีคนให้โอกาสเสมอและเราก็มักจะคว้าโอกาสนั้นเสมอ
พี่โอ๋อยู่ในวงการมาโคตรนาน มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?
ถ้านอกจากความปวดไหล่ปวดหลัง(หัวเราะ) เราเป็นเหมือนเดิมทุกอย่างจริงๆ ข้อดีคือเรายังเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสียอยู่ เรายังทำอะไรโดยไม่หวังผลอยู่ เริ่มยังไงเป็นอย่างนั้น เช่น หนังสือเล่มแรกที่เราขอวาดของ ‘พี่พลอย จริยะเวช’ เราโทรไปเค้าวาดเลย แล้วบอกว่าไม่เอาตังก็ได้ ซึ่งก็เหมือนทุกวันนี้ที่เราขอทำอะไรที่มันน่าสนใจ และเป็นสิ่งที่เราต้องการจะทำจริงๆ บางครั้งคนไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ เราจะบอกว่าขอทำเหอะทำให้ฟรีเลย คุณอาจจะเห็นว่าฉันทำได้
เราเป็นคนที่ยังเอ็นจอยกับชีวิตอยู่ แถมยัง easy ขึ้นด้วย ไม่เคยเกรงกลัวอะไรกับการมีความสุข และพร้อมที่จะมีความสุขอยู่เสมอ ไม่กลัวความเสี่ยงกล้าเสี่ยง กล้าทำทุกอย่าง
ตอนนี้สิ่งที่เราไม่ชอบตัวเองคือที่กำลังเราน้อยลง ที่เราแก่ขึ้น มันทำให้เราทำอะไรที่เราอยากทำไม่ไหว เหมือนที่เราบอกว่า เมื่อก่อนเราทำสไตล์ลิส แล้วเราเหนื่อยเราโทรม เหมือนกับตอนนี้ที่เราเลือกไม่เล่นคอนเสิร์ตใหญ่เพราะเราเหนื่อย วิ่งไม่ไหว นี่คือปัญหาจริงๆนะ นี่คือข้อเสีย
ทุกวันนี้มีแฟนๆโอ๋รุ่นใหม่ไหม เขารู้จักคุณในลักษณะไหน?
มี! คือคุณครูลูกตาล ได้ดูฮอร์โมนไหม อยู่ๆชั้นก็กลับมาเว้ย! ด้วยการที่มีเด็กจิ๋วจิ๋ววิ่งมาขอถ่ายรูป แล้วก็คิกคัก “คุณครูๆ ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ” ฉันก็แบบทำตัวเลวมากไม่ได้แล้ว เพราะว่าคนเชื่อว่าฉันเป็นครู ซึ่งเด็กจิ๋วใส่คอซองไม่มีทางรู้จักฟูตองแน่นอน! สนุกดี เราแฮปปี้มากเลยนะ
LG Ultra HD 4K Monitor
– ความลงตัวของภาพที่สวยสมจริงด้วย Ultra HD IPS ความคมชัดระดับอัลตร้าเอชดี คมชัดกว่า Full HD 4 เท่า แสดงทุกรายละเอียดอย่างชัดเจนสุดสมจริงและน่าประทับใจ ภาพสวยไร้ที่ติ ควบคู่มากับหน้าจอ IPS ที่มอบความประทับใจแห่งสีสัน แสดงรายละเอียดแม่นยำราวต้นฉบับ จอ IPS 4K ยังแสดงคอนทราสต์ได้สม่ำเสมอไม่ว่ารับชมจากองศาใดและแสดงภาพเคลื่อนไหวสุดเนี้ยบ ไร้ภาพเบลอ
– สมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยี Free Sync ด้วยฟังก์ชั่นล่าสุดของ FreeSync คุณจะได้รับประสบการณ์เหนือระดับกับการเล่นเกมส์ที่หาไม่ได้ในจอภาพอื่นใด
– ฟังก์ชั่นปรับความสว่างของจอภาพ ด้วยฟังก์ชั่น Black Stabilizer มีประโยชน์มากในเกมส์ที่มีแสงมืด ด้วยฟังก์ชั่นนี้ทำให้สามารถมองเห็นฝ่ายตรงข้ามได้แม้ในมุมมืด และ Dynamic Action Sync ให้คุณจู่โจมฝ่ายตรงข้ามได้เพียงเสี้ยววินาที
– ฟังก์ชั่นสำหรับการเล่นเกมส์ Game mode, ทั้งเกมส์แบบ FPS, RTS หรือแม้กระทั่ง สามารถปรับแต่งโหมดได้เองตามใจชอบ ทำให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์อันหลากหลายในแต่ละเกมส์ที่ชื่นชอบ การปรับแต่งทำได้ง่ายๆไม่ว่าจะเป็นเกมส์ในรูปแบบใดก็ตาม ผู้ใช้งานก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจำแนกของลักษณะเกมส์ที่ท่านเล่นขณะนั้น
– ปรับแต่งชิ้นงาน ได้อย่างมืออาชีพ ด้วย Ultra HD IPS LG Ultra HD IPS มอนิเตอร์ ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับคอนเทนต์ 4K ได้มากเท่าที่คุณต้องการ ด้วยคุณภาพของสีระดับ sRGB มากกว่า 99% ยกระดับคุณภาพความคมชัดของคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อความบันเทิงสมบูรณ์แบบ คมชัดทุกรายละเอียด
– ชีวิตง่ายขึ้นด้วยการใช้งานแบบ Multi-Tasking ด้วยฟังก์ชั่นการแบ่งหน้าจอทำให้คุณสามาถจัดการงานได้อย่างง่ายดายทั้งการใช้งานหลายอย่างบนหน้าจอเดียวกัน การย่อหรือขยายหน้าจอใดๆ และ ให้คุณปรับการใช้งานได้มากถึง 14 รูปแบบ โดยคุณสามารถทำงานบนหน้าจอหลักไปพร้อมๆกับดูวีดีโอในหน้าต่างเล็กๆด้านข้างหน้าจอได้ในเวลาเดียวกัน
– ฐานจอดีไซน์แบบโค้ง (ArcLine Design) แรงบันดาลใจจากความสวยงามและพลังของธรรมชาติ, Arcline คือความสมบูรณ์แบบของการออกแบบด้วยความงดงามที่ลงตัว
LG Thailand
Website : http://www.lg.com/th
Facebook : https://www.facebook.com/thailandlifesgood
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย