“James Dean” ชื่อนี้ต่อให้เวลาผ่านไปอีกสัก 30-40 ปี ก็ยังคงเป็นชื่อที่ผู้ชายทั่วโลก ทุกยุค ทุกสมัย ต่างยกให้เป็น “ไอคอน” อมตะตลอดกาล ไม่ว่าจะในแง่ของคาแร็คเตอร์เด็กนอกคอกมีปัญหา ผู้ไม่สนใจใครหรือกฎเกณฑ์ใดๆ รวมไปถึงความหล่อเหลา มีสไตล์ของนักแสดงอเมริกันผู้นี้ ที่ถึงแม้จะมีเพียงเสื้อยืดคอกลมสีขาวรัดรูป แจ็คเก็ตหนัง กางเกงยีนส์ ทรงผมวินเทจ และบุหรี่ แต่เมื่อบวกกับบุคลิกดิบๆห่ามๆของเขาแล้ว กลับกลายเป็นลุค “ผู้ชายตัวจริง” ที่หนุ่มๆเห็นแล้วต้องขอกราบ และยกให้เป็นสไตล์ไอดอล ในขณะที่สาวๆเห็นทีไรก็ไม่วายต้องแอบกรี๊ด เพราะลึกๆแล้วเราเชื่อว่าไม่มีผู้ชายคนไหนหรอก ที่ไม่อยากจะแบดกับเขาบ้าง หรือไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ลึกๆแล้วจะไม่มีจุดอ่อนสำหรับผู้ชายแบดบอย และด้วยส่วนผสมของสไตล์การแต่งตัว ที่ยังสามารถนำมาใส่ได้ทุกสมัย และคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนโดนใจวัยรุ่น วัยหนุ่มสาวนี้เอง ที่เราเชื่อว่าทำให้ James Dean กลายเป็นตำนานไอคอนระดับโลกที่ยังคงถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยสถานะความเป็นไอคอนผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานของเขา อาจจะพาลทำให้หลายคนหลงนึกว่าพระเอกวัยยี่สิบต้นๆคนนี้ จะต้องเคยฝากผลงานภาพยนตร์มาไม่ต่ำกว่าสิบเรื่องแน่ๆ แต่หากใครได้เคยลองอ่านประวัติผลงานภาพยนตร์ของ James Dean จริงๆแล้วล่ะก็ อาจจะต้องแอบตกใจไม่ใช่น้อยว่าเขามีเพียงแค่สามภาพยนตร์เท่านั้น ที่สร้างชื่อและทำให้เขาดังเป็นพลุแตก ซึ่งภาพยนตร์สามเรื่องนั้นก็คือ “East of Eden” (1955), “Rebel Without a Cause” (1955) และ “Giant” (1956) ที่ออกฉายในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ในขณะที่ชีวิตของเขากำลังได้ออกสตาร์ทอย่างสวยงาม แต่แล้วในที่สุดโชคชะตาก็กลับมาเล่นตลกร้าย เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยวัยเพียง 24 ปี เมื่อวันที่ 30 กันยายน ปี 1955 หนึ่งเดือนก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง Rebel Without a Cause จะออกฉาย ปิดผนึกโชคชะตาของ Dean ให้กลายเป็นไอคอนในตำนานตลอดกาล ถึงแม้เขาจะจากทุกคนไปก่อนเวลาอันควร แต่ฝีไม้ลายมือในการแสดงที่เขาได้ฝากเอาไว้ในภาพยนตร์สามเรื่องดังกล่าวก็เป็นที่น่าจดจำ และฉายแววพรสวรรค์ในการเป็นนักแสดงของเขา จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายถึงสองปีซ้อนจากภาพยนตร์ East of Eden ในปี 1955 และ Giant ในปี 1956 ทำให้ Dean ครองสถิติหนึ่งในนักแสดงประวัติศาสตร์ออสการ์ที่ได้เข้าชิงรางวัลจากการรับบทนำครั้งแรก รวมถึงยังเป็นนักแสดงคนแรกของประวัติศาตร์ออสการ์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลังจากที่เสียชีวิตลงไปแล้วอีกด้วย
กว่าครึ่งศตวรรษที่ James Dean ได้จากโลกไป เรื่องราว ชีวประวัติของเขาก็ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลากหลายเวอร์ชั่น แต่สำหรับปี 2015 เพื่อรำลึกครบรอบ 60 ปี การจากไปของบุรุษผู้เป็นตำนานคนนี้ สองผู้อำนวยการสร้าง Iain Canning และ Emile Sherman แห่งค่ายหนัง See-Saw Films ผู้อยู่เบื้องหลังหนังออสการ์อย่าง The King’s Speech จึงตั้งใจทำให้ภาพยนตร์เรื่อง “LIFE” ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ชีวประวัติทั่วๆไป แต่เป็นหนังที่พูดถึงเบื้องหลังชีวิตของศิลปินชื่อดังทั้งตัว James Dean นักแสดงหัวขบถ และ Dennis Stock ช่างภาพมากฝีมือ ซึ่งมิตรภาพของพวกเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ซูเปอร์สตาร์เลือดใหม่ในประวัติศาสตร์ โดย Luke Davies มือเขียนบท ได้ทำการค้นคว้าเรื่องราวของ James Dean จนกระทั่งเขามาสะดุดตากับภาพถ่าย James Dean ของ Dennis Stock เขาจึงตัดสินใจนำเรื่องราวของพวกเขามาเขียนบท ซึ่ง Davies ก็มีความเห็นคล้ายกับผู้อำนวยการสร้างว่านี่ไม่ใช่หนังชีวประวัติ แต่เป็นหนังที่เล่าเสี้ยวชีวิตที่มีแนวคิดอันยิ่งใหญ่ต่างหาก
Davies ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ Dennis Stock และเบื้องหลังภาพถ่าย James Dean สำหรับหนังเรื่อง LIFE จากสื่อหลายประเภท รวมถึงบทสัมภาษณ์ของ John Morris ผู้บริหารกลุ่ม Magnum Photography และ Rodney Stock ลูกชายของ Dennis จนเกิดเป็นละครสามองก์คือ องก์แรก – Los Angeles องก์สอง – New York และองก์สาม – Indiana ที่เป็นบ้านเกิดของ James Dean ซึ่งการเดินทางไปยัง Indiana จึงเหมือนเป็นการย้อนรอยอดีตของ James Dean และเป็นการถ่ายทอดความกดดันในชีวิตระหว่างการอาศัยในบ้านเกิดกับโลกแห่งชื่อเสียง ส่วนการตัดสินใจใช้ชื่อหนังเรื่องนี้ว่า “LIFE” เพราะนอกจากเป็นชื่อนิตยสารในตำนานที่ Stock ถ่ายภาพให้แล้ว หัวใจของหนังเรื่องนี้คือการพูดถึงทางเลือกชีวิตของตัวละคร ซึ่งความเป็นความตายของคนเราสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตเป็นอย่างมาก ภาพยนตร์เรื่อง LIFE จึงเปรียบเสมือนการเฉลิมฉลองชีวิตอันยิ่งใหญ่และบทอาลัยต่อการจากไปของ James Dean นักแสดงในตำนานคนนี้
ภาพถ่าย James Dean โดย Dennis Stock ที่ Fairmount รัฐ Indiana บ้านเกิดของพระเอกหนุ่ม
ภาพถ่ายในตำนานของ James Dean ฝีมือ Dennis Stock ที่จตุรัส Times Square, New York
(ซ้าย) James Dean กับเพื่อน และช่างภาพ Dennis Stock ที่กองถ่ายหนัง Rebel Without a Cause
ภาพถ่าย James Dean โดย Dennis Stock ได้รับการตีพิมพ์ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง East of Eden หนังแจ้งเกิดของ James Dean จะออกฉาย ซึ่งภาพถ่ายชุดนี้ได้ตอกย้ำความเป็นซูเปอร์สตาร์สุดเท่ตลอดกาลของ Dean ให้เป็นที่จดจำไปทั่วโลก ดังนั้นภาพถ่ายของ Stock จึงมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะถ่ายทอดออกมาในรูปแบบจอเงิน ทั้งเผยความเป็นปุถุชนภายใต้ชื่อเสียงระดับตำนาน เห็นความขัดแย้งในชีวิตของศิลปินรุ่นใหม่ในสมัยนั้น ที่วงการบันเทิงพยายามผลักดันให้ถึงจุดสูงสุด สำหรับทั้ง James Dean และ Dennis Stock เอง นอกจากนี้ภาพยนตร์ดังกล่าวยังแสดงให้เห็นทางเดินชีวิตที่แตกต่างของศิลปินสองคน หาก Dean คือความขบถ ทั้งในเรื่องของสไตล์ และการไม่เล่นตามเกมที่ฮอลลีวู้ดวางหมากไว้ Stock ก็คือตัวแทนของการเดินตามบรรทัดฐานที่สังคมวางไว้นั่นคือความมั่นคงในการงาน การเสาะแสวงหาคู่ และการสร้างครอบครัว ซึ่งความแตกต่างของพวกเขาได้ช่วยเสริมสร้างมิติของความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในหนังเรื่องนี้ งานภาพถ่าย James Dean อาจจะเหมือนการฉวยโอกาสในหน้าที่การงานของ Stock ส่วน Dean ก็ไม่อยากตกหลุมพรางของการงานและชื่อเสียง แม้วิถีชีวิตจะต่างกันสุดขั้ว แต่สุดท้ายการทำงานร่วมกันของทั้งสองก็พัฒนาจนกลายเป็นมิตรภาพ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้จะถูกเล่าในมุมมองของช่างภาพ Dennis Stock ที่ได้เดินทางเพื่อบันทึกทุกฝีก้าวของ James Dean ซึ่งเป็นบทบันทึกเพื่อทำความรู้จักและเข้าใจชีวิตของเขา Anton Corbijn ผู้กำกับที่มีประสบการณ์เป็นช่างภาพมาก่อน ที่เคยฝากฝีมือมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง “Control” (2007) หนังขาวดำที่เล่าชีวิตของ Ian Curtis นักร้องนำวง Joy Division จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมว่ามันตลกตรงที่ สิ่งที่ดึงดูดผมเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆคนคิดไว้” Corbijn กล่าว “คนส่วนใหญ่จะคิดว่าต้องเป็นเพราะ James Dean แน่ๆ แต่สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือเรื่องราวของช่างภาพที่มี subject เป็นคนของประชาชนต่างหาก ผมว่าผมเข้าใจตรงจุดๆนี้ดี เพราะผมก็ทำงานสายนี้มากกว่า 40 ปี แล้ว”
Robert Pattinson และ Dane DeHaan กับผู้กำกับ Anton Corbijn ที่กองถ่ายหนัง LIFE
และแล้วโปรเจกต์หนังเรื่อง LIFE ก็กลายเป็นผลงานที่น่าจับตามองเพราะได้สองดาราหนุ่มมากเสน่ห์แห่งยุคนี้อย่าง Robert Pattinson และ Dane DeHaan มารับบทนำ ซึ่ง Pattinson ในบทของ Dennis Stock กล่าวชมบทหนังของ Davies ว่าบทละเมียดละไมและมีความเป็นกวีในการเล่าเรื่อง แต่ก่อนที่ Pattinson จะตอบตกลง เขาก็ต้องการรู้ว่าใครจะมารับบทเป็น James Dean ขณะที่หลายคนคิดว่า Pattinson เองก็มีลุคที่หล่อเหลา และบุคลิกที่เหมาะสมจะเป็น James Dean เช่นกัน แต่แล้วในที่สุดคนๆนั้นก็คือ Dane DeHaan ซึ่งบุคลิกตัวจริงของเขาก็แตกต่างจาก Pattinson โดยสิ้นเชิง จึงนับเป็นผลดีสำหรับ Corbijn ในการถ่ายทอดความแตกต่างของศิลปินสองคนที่กลายเป็นมิตรภาพ Iain Canning ผู้อำนวยการสร้าง ได้สังเกตพัฒนาการแสดงของ Pattinson ว่าเขาจะฉีกภาพลักษณ์ดาราขวัญใจวัยรุ่นแล้วหันมารับบทที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างในหนังเรื่องนี้ เขาจะเป็นช่างภาพผู้บันทึกชีวิตของดาราผู้ที่กำลังก้าวสู่จุดสูงสุดของอาชีพ ซึ่งไม่ต่างจากยุคหนึ่งของ Pattinson ที่ดังสุดขีดจากหนังเรื่อง The Twilight Saga และเพื่อเข้าถึงบทบาทของช่างภาพ Pattinson จึงฝึกการถ่ายภาพโดยใช้กล้องไลก้าเป็นเวลาสองสามเดือนก่อนถ่ายทำหนัง Pattinson กล่าวถึงความหลงใหลในการถ่ายภาพแบบสมัยก่อนว่าเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่กำลังจางหาย “มันมีความละเมียดละไมเฉพาะตัวเมื่อเปรียบเทียบกับการถ่ายภาพแบบดิจิตอล เพราะคุณไม่สามารถกำหนดตัวรูปภาพได้ และคุณไม่สามารถถ่ายภาพในแบบเดียวกับที่คุณถ่ายด้วยไอโฟนแล้วตกแต่งภาพทีหลังได้หรอก” แม้การถ่ายภาพสมัยก่อนต้องใช้เวลากว่าจะได้ภาพดีๆ แต่ Pattinson ก็ชื่นชอบและต้องการเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจตัวละครมากขึ้น ส่วน Canning ได้กล่าวถึงการแสดงของ Pattinson ว่าเขาพยายามอย่างยิ่งเพื่อเข้าใจแรงผลักดันทางจิตใจของ Stock และเข้าใจวิถีชีวิตของคนหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆในยุคนั้น ที่เสาะแสวงความมั่นคงในชีวิต ทว่าตัว Stock กลับมีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
สำหรับการตัดสินใจของ Dane DeHaan ในการสวมบทเป็น James Dean ทีมงานหลายคนต่างเห็นพ้องว่าเขาเหมาะสมอย่างยิ่ง แต่ DeHaan กลับไม่เคยคิดอยากสวมรอยเป็น James Dean ถึงแม้ Dean จะเป็นดาราในดวงใจของเขาก็ตาม รวมถึงชื่นชมบทหนังและตัว Corbijn จนกระทั่งเขากับผู้อำนวยการสร้างได้ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับตัวหนัง แล้ว Canning ได้บอกว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนรู้จัก James Dean บวกกับการท้าทายในการเปลี่ยนแปลงบุคลิกของ DeHaan จากชายร่างผอมบางให้เป็นหนุ่มบึกบึนมากขึ้น DeHaan จึงตอบตกลง ซึ่งตรงตามเป้าหมายสำคัญของผู้สร้างหนังที่อยากให้บท James Dean เป็นของนักแสดงที่มีฝีมือจริงๆ ไม่ใช่ต้องการแค่คนหน้าเหมือน James Dean มาเล่น
และกว่าที่ DeHaan จะกลายเป็น James Dean เขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงร่างกายครั้งใหญ่ โดยเขาต้องเพิ่มน้ำหนัก 25 ปอนด์ และออกกำลังกายเป็นเวลาสามเดือนก่อนเปิดกล้อง มีช่างแต่งหน้า Sarah Rubano ที่เคยร่วมงานกับ DeHaan ใน The Amazing Spiderman 2 มาแปลงโฉม รวมถึงงานออกแบบเสื้อผ้าโดย Gersha Phillips ที่จะทำให้ DeHaan เป็น James Dean จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงร่างกาย แม้ว่า DeHaan จะเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็น James Dean ได้ แต่เขาต้องถ่ายทอดความเป็นปุถุชนคนหนึ่งซึ่งคือความพิเศษสำหรับเขาในหนังเรื่องนี้ DeHaan ไม่ได้เล่นเป็น James Dean แต่เขาได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของ Dean ซึ่งตัว DeHaan เองก็เข้าใจเช่นกันว่าเขาพยายามจะนำเสนอความเป็นปัจเจกชนและถ่ายทอดตำนานให้ผู้ชมรับรู้ “ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบที่จะให้เกียรติเขา แต่พยายามฉีกกฎเดิมๆในการแสดงให้ผู้ชมรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ตัวเขาในสายตาคนอื่น” DeHaan กล่าว
LIFE ถือเป็นผลงานสำคัญที่นอกจากจะได้สองดาราหนุ่มเลือดใหม่มาแรงอย่าง Pattinson และ DeHaan มาแสดงนำแล้ว ยังได้ดารามากฝีมือ Ben Kingsley เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก “Gandhi” (1982) มารับบทเป็น Jack Warner ผู้บริหารสตูดิโอที่บงการชีวิตการงานของ James Dean ร่วมด้วย Joel Edgerton ผู้เคยฝากฝีมือการแสดงสุดเข้มข้นในหนังเรื่อง “Warrior” (2011), “Zero Dark Thirty” (2012) และ “Exodus: Gods and Kings” (2014) มาเป็น John Morris ประธานกลุ่ม Magnum Photography ที่ช่วยเหลือ Dennis Stock ด้านการงาน
หนังเปิดกล้องเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ถ่ายทำที่ Los Angeles สหรัฐอเมริกา และเมืองต่างๆในรัฐ Ontario, Canada ซึ่งทีมงานต้องสร้างฉากและสถานที่สำคัญๆขึ้นมาใหม่ตรงตามท้องเรื่องที่เกิดในยุค 50s และเหมือนกับสถานที่จริงๆที่ปรากฏบนภาพถ่ายของ Dennis Stock ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดตัวภาพยนตร์ของ James Dean บ้านเกิดของเขาที่เมือง Fairmount รัฐ Indiana รวมถึงจตุรัสไทม์สแควร์ที่กลายเป็นฉากหลังของภาพถ่ายในตำนานอันลือลั่น
“LIFE เพื่อนผมชื่อ เจมส์ ดีน” จะเข้าฉายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2015 นี้แล้ว ใครที่เป็นแฟนของ James Dean พระเอกในตำนานคนนี้ ห้ามพลาดชมเด็ดขาด
Writer: Thip S. Selley
Credit: M Pictures
Image by: Lifethefilm , Magnumphotos
RECOMMENDED CONTENT
ภาพหายากที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อ Harrison Ford หลุดขำ กลางรายการให้สัมภาษณ์รายการทีวีของอังกฤษ This Morning เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา #BladeRunner2049