ถ้าหากวง Florence & The Machine คือพี่คนโต วง The xx คือพี่คนกลาง งั้นวง London Grammar ก็คือน้องคนสุดท้อง เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เราได้ฟังเพลงของวง indie pop จากอังกฤษวงนี้ เรานึกถึงสองวงข้างต้นขึ้นมาทันที เพราะอะไรนะเหรอ เพราะเสียงร้องของ Hannah Reid นักร้องนำของวงวัย 24 ปีคนนี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเสียงร้องของ Florence Welch ส่วนสไตล์ดนตรีของวงก็คล้ายๆกับวง The xx ด้วยเสียงของการดีดกีต้าร์ที่ฟังดูหม่นๆของ Dan Rothan มือกีต้าร์ของวงและบรรยากาศโดยรวมของเสียง ambient อื่นๆ จากฝีมือของ multi-instrumentalist อย่าง Dot Major ที่ขอบอกว่าจะติดใจจนอยากฟังทั้งอัลบัม
London Grammar ได้ออกอัลบัม EP ‘Metal & Dust’ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถไต่ขึ้นอันดับ Top 5 ของชาร์ต iTunes ในออสเตรเลีย โดยหลังจากนั้นทางวงได้ปล่อยซิงเกิ้ล “Wasting My Young Years” เมื่อเดือนมิถุนายนซึ่งไต่อันดับสูงสุดถึงอันดับที่ 31 ใน UK Singles Chart ถือว่าทำได้ดีทีเดียวสำหรับวงน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ส่วนสตูดีโออัลบัมแรกที่ใช้ชื่อว่า “If You Wait” ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมานั้น ได้ไต่ขึ้นถึงอันดับที่ 2 ของ UK Albums Chart และ Scottish Albums Chart และกำลังทยอยไต่อันดับตามชาร์ตเพลงต่างๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นของ Australian Albums Chart, French Albums Chart และ New Zealand Albums Chart
ส่วนเพลงในอัลบัม “If You Wait” เราขอบอกว่ามีหลายเพลงเด่นๆที่เราอยากจะแนะนำให้คุณได้ฟังกัน เริ่มต้นที่เพลงช้าอารมณ์หม่นๆอย่าง “Hey Now” ที่เริ่มต้นด้วยเสียงคอร์ดกีต้าร์อันเย็นเยียบสไตล์ minimal แบบฟังแล้วต้องนึกถึงวง The xx ทันที บวกกับเสียงร้องอันทรงพลังของ Reid ที่ค่อยๆบิวท์อารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ “Strong” เพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้หญิงที่เพ้อฝันและโหยหาการยึดเหนี่ยวบางอย่างแต่สุดท้ายก็ต้องเจอกับความเป็นจริงของชีวิตที่ทำให้เธอไม่สมหวัง “Metal & Dust” กับประโยคที่ Reid คร่ำร้อง “we argue, we don’t fight” นั้นแสดงให้เห็นถึงการไม่อยากจะประเชิญหน้าต่อปัญหาระหว่างคนสองคน และ “Nightcall” เพลง cover ของ Kavinsky ที่เราไม่คิดว่าจะมีด้วยในอัลบัมที่รับรองว่าช่างแตกต่างจากเวอร์ชั่นเดิมโดยสิ้นเชิง
ส่วนตอนนี้สองหนุ่มและหนึ่งสาวของ London Grammar กำลังเตรียมตัวทัวร์ที่อเมริกา ซึ่งทั้งสามคนต่างรู้ดีว่าชื่อเสียงที่จะตามมานั้นต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน “มันไม่เกี่ยวความสำเร็จจากทั่วโลก” Reid กล่าว “แต่การได้ทำอาชีพนี้ต่อไปอีกนานเท่านานต่างหากที่สำคัญ”
เก่งและยังมีความคิดก้าวไกลแบบนี้ เชื่อว่าพวกเราคงได้ติดตามผลงานและเห็นการเติบโตอย่างสวยงามของพวกเขา London Grammar ไปอีกหลายปีแน่
Writer : Thip S. Selley
Image By: London Grammar’s Facebook
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย