คอลัมน์เกี่ยวกับหนังของ Dooddot วันนี้ ยังคงมี List มาให้เพื่อนๆคอหนังอ่านเพลินกันอีกเช่นเคย (ลองติดตามคอลัมน์หนังอื่นๆได้ที่หมวด Music&Film ของเรา https://www.dooddot.com/category/music-film/) หัวข้อคราวนี้เป็นเรื่องของ “เงิน” กันบ้าง มาดูกันว่าหนังดังที่เรารู้จักกัน มีเรื่องใดบ้างที่ใช้ทุนน้อยนิด เป็นหนังทุนต่ำ แต่ผลตอบรับกลับได้รายได้มหาศาล เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เราหวังว่าทั้งคนชอบดูหนังและคนอยากทำหนังที่ได้อ่านคอลัมน์นี้ จะมีแรงบันดาลใจใช้ทุนที่มีอยู่ของตัวเอง ทำหนังออกมาเหมือนกัน ใครจะไปรู้ล่ะ คุณอาจจะมี Masterpiece อยู่ในหัว รอการถ่ายทอดออกมาก็ได้!
Mad Max (1979)
ต้นทุน: $200,000 / ทำรายได้: $99.75 million worldwide
แม็กซ์ผู้บ้าระห่ำ หนังโคตรคัลต์ที่กำลังจะมีภาคใหม่ออกมาช่วงปลายปีนี้ นี่คือผลงานแจ้งเกิดของ George Miller นักทำหนังแดนจิงโจ้ ที่ประกาศให้โลกรู้ว่า ดิสโทเปียในแบบฉบับของชาวออสเตรเลียมันเป็นอย่างไร แจ้งเกิดทั้งผู้กำกับ และนักแสดงนำอย่าง Mel Gibson หนังเรื่องนี้ถือเป็นใบเบิกทางในโลกภาพยนตร์นานาชาติของชาวออสเตรแบบสุดขีด หนังสร้างแบบใช้ทุนโคตรประหยัด เพื่อความสมจริงทำเอานักแสดงและสตันท์แมนเองต้องผาดโผนกันแบบโหดเยอะหน่อย เห็นเล่ากันว่าฉากชนกันที่เห็นกันสวยๆในหนัง ต้องถ่ายภายใน Take เดียวจบ เพราะรถพังแล้วจะเอาเงินที่ไหนหามาอีกล่ะ? แต่อย่างน้อยที่เราขอปรบมือให้กับ Miller เลยไม่ใช่เรื่องของซีนแอคชั่นที่ดุเด็ดเผ็ดมันอะไร แต่เป็น Costume ของ Max ที่เป็นหนังแท้ทั้งตัว (นักแสดงคนอื่นเป็นผ้าบ้างหนังเก๊บ้างจ้า) ใช้ทุนไปทั้งหมด $200,000-$350,000 แต่ได้ผลตอบรับจากทั่วโลกมาสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก Mad เป็น Rich Max เลยล่ะ
Saw (2004)
ต้นทุน: $1.2 million / ทำรายได้: $103 million worldwide
Saw เป็นหนังที่ใครๆก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ดูกี่ทีๆก็ชอบ (เพราะเราต่างเป็นคนซาดิสม์กันลึกๆไง) กับแนวคิดที่ฉลาดและน่าติดตาม เอาคอนเซปต์เรื่องเกม Puzzle แก้ปัญหา ที่หลายคนชอบกันดีอยู่แล้ว มายำกับความโหด และการเอาตัวรอดของมนุษย์ (ใครที่ชื่นชอบลองดูเรื่อง Cube ประกอบกันด้วย อันนั้นก็มันส์เหมือนกัน) Saw เริ่มต้นจากการหาทุนของ James Wan และ Leigh Whannell ด้วยการทำหนังสั้นเกือบ 10 นาที มูลค่าไม่ถึง $3,000 ขึ้นมาก่อน (ที่ตอนหลังกลายเป็นฉากเริ่มต้นของหนังนั่นล่ะ) เสร็จแล้วก็ลองเอาไปยื่นให้ค่ายหนังดู มี LionsGate ที่สนใจ โยนเงินมาให้ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้นล่ะ แฟรนไชส์สยองขวัญโคตรขายก็บังเกิด
Blair Witch Project (1999)
ต้นทุน: $35,000 / ทำรายได้: $248.3 million worldwide
ถ้าคุณอายุ 25+ คงพอจะนึกกระแสที่หนังเรื่องนี้ตอนเข้าโรงกันได้ “หนังบ้าไรวะ ดูแล้วอ้วกจะแตก” นี่เป็นหนังเรื่องแรกๆในกระแส Mainstream ที่นำเสนอแนว Found Footage ไม่ต้องตัดอะไรให้มากเรื่อง ถือ Handheld มันทั้งเรื่อง เรื่องราวว่ามีคนไปพบวิดีโอชุดนี้ แล้วมาเปิดเป็นหนัง เด็กนักเรียนทำหนังหายตัวไปขณะถ่ายทำสารคดีในป่า หนึ่งปีผ่านไปเทปม้วนนี้ก็ถูกพบเจอ ก็อย่างว่าล่ะถ่ายทำแบบวิ่งไปถ่ายไป เหมือน Home Video บ้านๆ (มีฉากขี้มูกไหลด้วย ฮือ) แล้วงบประมาณมันจะไหลไปไหนได้ ใช้กันไปแค่ $35,000 (น่าจะค่าข้าวออกกองกัน) แต่ผลตอบรับคือเกือบ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โอว มาย ก็อช!!! ต้องยกเครดิตให้การโปรโมตแบบ Viral อันชาญฉลาดในยุคที่โลกยังไม่รู้ว่า Viral คืออะไร ที่มันออกมาดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องจริง คนพากันพูดถึง “แก… เรื่องจริงปะวะเนี่ย?” แต่น่าเสียดายที่หลังจากเรื่องนี้ ผู้กำกับ Daniel Myrick และ Eduardo Sánchez ก็ไม่มีงานล้ำๆน่าสนใจแบบเรื่องนี้ออกมาอีกเลย
Napoleon Dynamite (2004)
ต้นทุน: $400,000 / ทำรายได้: $46 million worldwide
มาแล้วๆ หนังโปรดในใจใครหลายคน (ถ้าไม่มีใครโปรดด้วย ก็คนเขียนเองนี่ล่ะ) Napoleon Dynamite เปิดตัวมาแบบงงๆ ถึงทุกวันนี้ไปเปิดดูมันก็งงๆอยู่ เคยนั่งดูกับพ่อที่บ้าน พ่อขึ้นบ้านนอน แล้วยังทักเลยว่า เห้ยนี่ลูกฉันปัญญาอ่อนนี่หว่าเนี่ย ดูหนังอะไร เนื้อเรื่องมีพี่หนุ่มผมบลอนด์หัวหยอย ปากเจ่อๆน้ำลายจะห้อยไม่ห้อยแหล่ มีเพื่อนเป็นลูกบอลห้อยได้ ทำเควสในชีวิตไปเรื่อยเปื่อยตามประสาชีวิตชานเมืองอเมริกัน ฟังผ่านๆมันดูเป็นส่วนประสมที่งงเต๊ก แต่พอออกมาอยู่บนจอหนัง เรากล้าพูดว่านี่คือ Masterpiece ชิ้นสำคัญของแนว Modern Comedy (เนิบๆเนือยๆแต่ฮาเจ็บ) หนังใช้ทุนสร้างไม่ถึง $400,000 เห็นบอกว่าผู้กำกับนั่งตัดหนังโดยใช้ Mac เครื่องเดียวใต้ถุนบ้าน ถ่ายกัน 22 วัน นักแสดง Jon Heder ได้ค่าตัวถูกกว่าเครื่อง Mac ด้วยซ้ำ ฉากเต้นฉากสุดท้ายที่หลายคนตราตรึงก็ต้องเอาฟุตมายำเพราะฟิล์มหนังหมดแล้ว โอย อะไรจะมวยวัดขนาดนี้ แต่ผลตอบรับหนังทำรายได้ไปไม่น้อยเลยที่ 44.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เราไม่มีทางรู้ว่าหนังเรื่องนี้ดังได้เพราะอะไร เพราะงบการโปรโมตก็ไม่มีเลยสักแดง แต่ก็นี่ล่ะนะ ความอัศจรรย์ของหนังคัลต์
Eraserhead (1977)
ต้นทุน: $20,000 / ทำรายได้: $7 million worldwide
หนังชั้นครูของคนทำหนังรุ่นใหม่ทุกคน หนังแปลกๆของผู้กำกับแปลกๆ David Lynch ที่ผลงานเรื่องนี้เป็นเรื่องสร้างชื่อของเขาเลย เป็นครั้งแรกที่โลกมนุษย์ได้พบกับความแปลกแบบอัจฉริยะของ Lynch ในรูปแบบหนังยาว (ก่อนหน้านี้แกบริหารความหลุดด้วยหนังสั้นมาก่อน) หนังขาวดำ เนื้อหาเกี่ยวกับชายผู้ถูกทิ้งให้เลี้ยงดูเด็กพันธุกรรมของเขาในพื้นที่บรรยากาศแบบ Industrial น่าอึดอัด ฟังแค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่ามัน Surreal ขนาดไหน ประกอบกับเพลงประกอบ ซาวด์แปลกๆ มุมกล้องการถ่ายทำที่ Lynch จินตนาการออกมา แม้หนังเรื่องนี้จะถ่ายทำด้วยต้นทุนเพียง $20,000 เท่านั้น (เห้ย เพิ่งรู้เหมือนกันว่าน้อยขนาดนี้) ดูแล้วก็คงรู้สึกงงๆใช่ไหมล่ะ ว่าหนังดันดังเป็นที่พูดถึงขนาดนี้ได้อย่างไร จากที่ตะเกียกตะกายทำหนังเรื่องนี้มากว่า 7 ปี ทุนหมดแล้วหมดอีก ไปขอใครเขาก็ด่าว่าหนังอะไรวะเนี่ย จนพวก Special Effect ก็ต้องลุยทำเองกับมือ สุดท้ายได้เข้าโรงฉายเฉพาะกลุ่มเล็กๆไม่ถึง 25 คนในตอนแรก แต่ใช้เวลาเปิดฉายนาน และครองเวลาการฉายเป็นหนังรอบเที่ยงคืนของโรงต่างๆ ทำให้หนังเรื่องนี้เริ่มกลายเป็นที่พูดถึง และช่วยทำให้ Lynch สร้างชื่อในวงการการทำหนังได้ในที่สุด ยอดรวมอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Super Size Me (2004)
ต้นทุน: $65,000 / ทำรายได้: $29.5 million worldwide
หนังสารคดีกันบ้าง เรื่องนี้เราว่าหลายคนคงเคยดูแล้ว เพราะเห็นมีแผ่นขายในบ้านเราเยอะเหมือนกัน พูดถึงเรื่องราวชีวิตของนาย Morgan Spurlock ที่ลงทุนยอมเป็นหนูทดลองเอง กิน McDonald แทนข้าวทุกมื้อ ทุกวัน วันละสาม Meal เป็นเวลา 1 เดือน เราว่าค่าทุนสร้างไม่น่าจะอยู่ที่ไหนหรอก เพราะทุกเซตเขาตั้งใจกินเป็นชุดจัมโบ้ ก็คูณไปได้เลย สุดท้ายแล้วจะฟาสต์ฟู๊ดหรือไม่ก็แล้วแต่ การกินซ้ำกันเป็นเวลาเดือนเต็มทำให้ร่างกายผิดปกติ และทำให้เขาเกือบตายเลย (อุ้ย Spoiler Alert จ่ะ) เอาล่ะเสี่ยงตาย แต่ผลตอบรับเมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉาย จากงบ $65,000 ได้กลับมาถึงเกือบ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลย
Rocky (1976)
ต้นทุน: $1 million / ทำรายได้: $225 million worldwide
หา Rocky นี่นะ หนังทุนต่ำ!? ใช่แล้ว ด้วยทุนสร้างไม่ถึงล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจจะเยอะกว่าใครเพื่อนในลิสต์นี้ แต่ถ้าวัดสเกลหนังที่ทำออกมา เราว่ามันต่ำมากเลย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การคิดค้น Steadicam เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ช่วยทำให้หนังดูมีมิติ และดูว่ากองถ่ายต้องใหญ่โตแน่นอน เช่นฉากวิ่งขึ้นบันได สุดแสนจะแรงบันดาลใจฉากนั้น พอได้ Steadicam มาช่วยเล่าเรื่องเท่านั้นล่ะ เป็น Cinematic Experience ที่ดูกี่ทีก็โคตรจะขนลุกเลย ช่วยให้ Sylvester Stallone ได้เล่าเรื่องนักมวยรองบ่อนของเขา ในระดับ Hollywood ไม่อายใคร (แถมได้ Oscar ไปนอนกอดอีกต่างหาก) หนังใช้ทุนสร้าง $950,000 ได้คืนเกือบ 120 ล้านดอลลาร์สหัรฐ เอเดรียนนนน!
Halloween (1978)
ต้นทุน: $325,000 / ทำรายได้: $70 million worldwide
นี่ล่ะ หนังแนวหวีดสับแหลกเรื่องแรกๆ ที่มาพร้อมต้นทุนโคตรต่ำ หนังสยองขวัญนอกกระแสเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนอะไรให้มากมาย อ่ะ คุณอยากได้ตัวโกงใช่ไหม? ไปเอาหน้ากากในห้องพร็อพมาทำหลอนๆหน่อย เอามีดให้เขาสักเล่ม ไฟสลัวๆควันฉุยๆ วิ่งเร็วๆหวังฆ่าอย่างเดียว เท่านี้ก็น่ากลัวแล้ว (เห้ย นี่มันขโมยคอนเซปต์ปอบผีฟ้าบ้านเราไปนี่นา!) วิ่งๆสับๆกันทั้งเรื่อง ด้วยทุนสร้าง $325,000 แต่สับไปสับมา สับกระเป๋าคนดูหนังในยุคนั้นกวาดไปถึง 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักแสดงนำหญิง Jamie Lee Curtis กลายเป็นไอคอนสาวสวยกรี๊ดวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปในยุคนั้นเลย
Once (2007)
ต้นทุน: $150,000 / ทำรายได้: $19 million worldwide
ครับ ผู้กำกับคนเดียวกัน John Carney ขอเล่าเรื่องรักๆดนตรีๆ ก่อนที่จะมีทุนสร้าง Begin Again สำหรับ Once เป็นหนังอินดี้นอกกระแสจาก Ireland ที่พูดถึงชีวิตรักคนสองคนเกิดขึ้นใน Dublin และทั้งสองไม่รู้จักชื่อกันและกัน (รวมถึงคนดูด้วย) ถ้าไม่เชื่อลองไปเปิด IMDB ดู ทุกวันนี้ยังเป็น Guy กับ Girl อยู่เลย หนังใช้ทุนสร้างน้อยนิด นักแสดงทั้งสองก็ไม่ใช่นักแสดงอาชีพจากไหน ทั้งคู่เป็นนักดนตรีอาชีพอยู่แล้ว จับมาเจอกันในจอกันโต้งๆเลย หนังได้ใจนักวิจารณ์หลายสำนักตอนออกมา เสร็จแล้วก็ไปตระเวนทัวร์ตามเทศกาลหนังทั่วโลก ตามฟอร์มหนังอินดี้ จนมาถึงเมื่อเริ่มเข้าฉายวงกว้าง และออกแผ่น จากทุนสร้าง $150,000 ก็ออกดอกออกผลเป็นไม่ต่ำกว่า 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลย
Paranormal Activity (2007)
ต้นทุน: $15,000/ ทำรายได้: $193 million worldwide
เอ้ะ เดี๋ยวๆ ไล่ๆมาทั้งลิสต์นี่ รู้สึกว่าแนวๆทุนต่ำ จะเป็นพวกสยองขวัญกันเกือบหมดเลย และเรื่องสุดท้ายนี้คือหลักไมล์สำคัญของวงการหนังสยองขวัญโลก ใครจะไปคิดล่ะว่าอยู่ดีๆจะมีหนังที่ทำเหมือน ช่วงคลิปผีรายการผีๆบ้านเรา เป็นหนังยาวทั้งเรื่องขึ้น เบื้องหลังการถ่ายทำของผู้กำกับ Oren Peli ก็โคตรจะสุดแสน DIY มีกล้อง Home VIdeo 1 ตัว ถ่ายทำ 7 วัน นักแสดง 2 คน ไม่มีบทพูด พากันหลอน พากันเหวอกันไปได้ทั้งเรื่องด้วยงบ $15,000 เท่านั้น! ตอนแรก ก็ทำออกมาฉายแค่เทศกาลหนังสยองขวัญเล็กๆ แต่ไปๆมาๆดันไปเข้าตาค่าย Paramount อีท่าไหนก็ไม่รู้ นั่นไงๆเริ่มมี Paramount Activity เข้ามาเกี่ยวละ เท่านั้นล่ะ หนังทำยอดทะลุเป้า เป็นสถิติหนังทุนต่ำทำรายได้โหดจนถึงทุกวันนี้ ใครดูก็พากันบอกต่อถึงความหลอนจิตสัมผัส ยอดรวมผลตอบรับปัจจุบันอยู่ที่ 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครับ Paranamount Paronormal Panorama Activity กันเลยทีเดียว
Writer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
เพลงนี้เล่าถึงแรงเสียดทานในชีวิตที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอแรงเสียดทานนี้ ที่เกิดขึ้นจากการกดทับโดยบริบททางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันในแบบต่าง ๆ ที่คนคนหนึ่งต้องเจอ เพราะถึงแม้จะนับ 1 ถึง 100 เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสงบใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งสิ่งนี้มันก็อาจจะเกินกว่าที่จะทนไหว และปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้ออกมาก็เป็นได้