ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ เป็นธรรมดาที่หนังฟอร์มยักษ์จะตบเท้ากันเข้าโรงฉายไม่ให้คอหนังพักหายใจ ล่าสุดนี้ก็เพิ่งมี The Avengers: Age of Ultron จัดหนักกันไปหมาดๆ โอเค ถ้าคุณยังมันส์ไม่หายกัน ควรตั้งสติได้แล้ว เพราะกำลังจะมีหนึ่งในโปรแกรมใหญ่ของปีเข้าโรงฉายอีกแล้วเช่นกัน นั่นคือ Mad Max: Fury Road ที่แฟนๆและคอหนังทั่วโลกตั้งตารอคอยให้ความสำคัญ ส่วนบางประเทศที่เริ่มฉายไปแล้วก็ได้รับรีวิวในเวปมะเขือเน่า (Rottentomatoes) แบบพุ่งทะลุเพดาน ยิ่งทำให้เราอยากดูยิ่งขึ้นไปอีก เราจะมาไล่ให้ฟังเรียกน้ำย่อยกันว่า มีเรื่องน่ารู้อะไรบ้างที่เราควรรู้เกี่ยวกับมหากาพย์เรื่องนี้
ห่างจากภาคล่าสุดมานานถึง 30 ปี
ถึงตรงนี้คงทราบกันดีแล้วว่าภาคต้นฉบับแรกเริ่ม Mad Max (1979) เป็นหนังนอกกระแสทุนต่ำจากออสเตรเลีย ที่ช่วยแจ้งเกิดให้กับ Mel Gibson และผู้กำกับ George Miller จากนั้นก็ตอกย้ำความสำเร็จด้วยสองภาคต่อ Mad Max 2: The Road Warrior (1981) และ Mad Max Beyond Thunderdome (1985) เป็นหนังแอคชั่นที่ดุดัน ป่าเถื่อน และโหดเหี้ยม สร้างชื่อให้กับแนวโลก Post-Apocalyptic ให้กับในยุคหลังๆทุกวันนี้
ความมันส์ที่บ่มเพาะเวลามานาน
Mad Max: Fury Road เป็นโปรเจคต์ที่ Miller เองก็คิดว่าจะทำมานานแสนนานแล้ว เพียงแต่ว่าติดในเรื่องของงบประมาณ และเทคนิคการถ่ายทำ ไม่ต่างกันกับหลักหยินหยางที่มีร้อนต้องมีเย็น ตลอดเวลาที่ห่างหายจากโปรเจคต์ Mad Max ไป 30 ปี George Miller ก็กระโดดไปกำกับหนังน่ารักๆอย่าง Bape: Pig in the City และ Happy Feet / Happy Feet Two หลายคนที่รอคอยหนังเรื่องนี้ก็ตั้งข้อสังเกตว่า นี่จะเป็นการปลดปล่อยความดิบของ George Miller ปลุกให้ตื่นอีกครั้ง
เป็นหนังที่ทำ Storyboard เสร็จก่อน Script (ซึ่งถือว่าแปลกมากๆ)
มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องบนโลกนี้ที่มีการส่งเรื่อง Script กันเป็น Storyboard เหมือนช่องการ์ตูนเลย ความยาวประมาณ 300 หน้า ไม่มีบทพูดสักบท มีแต่ภาพเล่าเรื่อง จนในภายหลังค่อยใส่คำอธิบายนิดๆหน่อยๆ มันเป็นการทำงานแบบสุดโต่งของ Mad Max ทุกภาคที่ Minimal และเน้นเรื่อง Visual มากๆ เพื่อให้ฉากแอคชั่นออกมาดูเข้มข้นที่สุด Miller กล่าวว่า “ไอเดียที่เป็นต้นกำเนิด Mad Max แรกเริ่มมาจากการที่เขาได้ยิน Alfred Hitchcock เคยกล่าวเกี่ยวกับการจะทำหนังที่คนสามารถดูได้ทั้งโลกโดยไม่ต้องง้อ Subtitle” โอเค เข้าใจละว่าทำไมหนังของเขาถึงเน้นเรื่องภาพเหลือเกิน
เริ่มถ่ายทำกินเวลามาทั้งหมด 12 ปี
จากที่ตอนแรกตัดสินใจทำ Pre-Production กันเป็นเรื่องเป็นราวในปี 2003 วางแผนงบประมาณกันเรียบร้อย แล้วก็กำลังจะเริ่มถ่ายทำกันในออสเตรเลียที่ Broken Hill เหมือนอย่างที่เคยถ่ายทำหนังเรื่องอื่นๆมา แต่โชคก็ดันไม่เข้าข้าง อยู่ดีๆหุบเขาดินแดงที่เคยแห้งแล้งก็เกิดฝนตกครั้งแรกในช่วง 15 ปี เปลี่ยน Broken Hill โลเคชั่นในฝันของ Miller เป็นทุ่งดอกไม้ฟรุ้งฟริ้งกันเลย ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมาถ่ายทำที่ทะเลทรายในประเทศนามิเบีย ทวีปแอฟริกา ก็มาเจอกับเรื่องความไม่ปลอดภัยในประเทศอีก ทำให้ต้องเลื่อนเวลาไป นู่นนั่นนี่กลายเป็นว่ากว่าจะได้เริ่มเดินกล้องกันจริงๆจัง แล้วจะทำเสร็จ หนังกินเวลาทั้งหมดไป 12 ปีเลยทีเดียว
ตัวละครที่ต้องหาเนื้อคู่ยากพอสมควร
คนที่จะเล่นตัวละคร Max ในเรื่องนี้ของ Miller ได้ ไม่ใช่ว่ามีทักษะการแสดงเก่งกาจเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีลุคที่เขาต้องการเฉพาะเจาะจงด้วย ในที่นี้เขาบัญญัติว่าต้องเป็นผู้ชายที่มีสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่า เต็มตัว และในยุคนี้ก็มี Tom Hardy นี่ล่ะที่เข้าตา ผู้กำกับเล่าว่าช่วงเวลาที่ทอมเดินเข้าประตูมา มันเป็นความรู้สึกเดียวกันเลยกับตอนที่ผมได้พบกับ Mel Gibson เมื่อ 30 ปีก่อน
นักแสดงที่ทุ่มเทให้ถึงขีดสุด
จาก Trailer นอกจากเราจะเห็น Tom Hardy มาในลุครอดตายโลกแตกแล้ว เรายังได้เห็น Chalize Theron ในลุคสาวแกร่งผมทรงสกินเฮดอีก ซึ่งตลอดระยะเวลาถ่ายทำ เธอต้องไว้ผมทรงนี้ ระหว่างนั้นตอนไปรับบทนางเองในหนังตลกเรื่อง A Million Ways to Die in the West (2004) ก็ต้องใส่วิกเล่นทั้งเรื่อง นักแสดงทั้งคู่ยังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือโปรเจคต์ที่พวกเขาจะตั้งใจใส่ฝีมือการแสดงแบบสุดตัว หลังจากได้เห็น Script คร่าวๆและจากการติดตามดู Mad Max ภาคก่อนๆ นี่คือโปรเจคต์ใหญ่ของชีวิตการแสดงเลย
ปล. มีข่าวลือออกมาว่า Tom Hardy และ Chalize Theron ไม่ถูกกันในกองถ่าย ถึงกับไม่คุยกันซักแอะเวลาอยู่นอกบทบาท นี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้การแสดงทั้งคู่หลุดไปในเลเวลเหนือเลยก็ได้นะ
นี่ไม่ใช่หนัง CGI
สิ่งที่ George Miller กล้ากล่าวอย่างมั่นใจ เกี่ยวกับ Mad Max: Fury Road ก็คือมันเป็นหนังที่แทบจะไม่ได้ใช้ CGI เลย สิ่งที่ใช้มีเพียง 20% ก็คือการตกแต่งให้ Landscape ของนามิเบียมีสภาพหลังโลกแตกมากขึ้น และมือจักรกลของตัวละคร Chalize Theron นอกนั้น เป็นสตั๊นแมนเล่นจริงเจ็บจริงกันหมด ไม่ว่าจะรถชนกันยับ หกคะเมนตีลังกา ไฟลุกท่วม ระเบิดตูมตาม กระเด็นกระดอน ไปถ่ายทำกันในทะเลทรายจริงๆเท่านั้น เขากล่าวว่า “หนังเรื่องอื่นที่ใช้ CGI ยุคนี้อาจจะกำหนดเรื่องฟิสิกส์ แรงโน้มถ่วงอะไรได้เองหมด พวกเขาจะทำให้ออกมาเหนือจริงแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าเราจะทำ เราต้องทำให้มันออกมาดูแล้วรู้สึกจริง ซึ่งมันคือการถ่ายทำขึ้นมาจริงๆหมดเลย แล้วถ้าอยากจะพิศดารยังไง ก็คงต้องทดลองเสี่ยงตายกันทำขึ้นมาจริงๆเท่านั้น” เป็นตามตำราของ Mad Max เลย ที่เป็นที่รู้กันในโลกของการทำหนังว่า ตั้งแต่ภาคแรกมา เป็นหนังที่สตั๊นแมนต้องทำงานหนักมากที่สุดแล้วเรื่องหนึ่ง ในภาคนี้ก็เป็น 365 วันของสตั๊นท์แมนเลยเช่นกัน (จากปากคนที่ดูแล้วบอกว่ามันอัดแน่นไปด้วยแอคชั่นมากๆ)
เพลงประกอบที่สมบูรณ์แบบ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเพลงสกอร์ประกอบหนังที่ตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์อย่างมาก ทั้งใน Trailer และคนที่ไปดูมาแล้ว มันเกิดขึ้นโดยการท่ี George Miller ลงทุนเปิดหลังบ้านเป็นตัวหนัง Mad Max: Fury Road ฉบับสามชั่วโมงคร่าวๆ ให้กับ Tom Holkenborg (อีกชื่อคือ Junkie XL) นักทำเพลงชาวดัทช์ที่ทำเพลงให้หนังมาหลายเรื่อง หลังจากเขาดูแล้ว เพียงเกริ่นมาไม่กี่ความคิดที่เขามีต่อตัวหนัง Miller ก็ตกลงเซ็นสัญญา จ่ายเงินจ้างเลย แล้วก็จัดการให้ไฟเขียวในการทำงานเรื่องเพลงประกอบทั้งหมด ผลก็ออกมาสุดยอดอย่างที่เห็น (ฟัง) นี่ล่ะ
ทั้งหมดนี้ยังเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น
กลับมานั่งแท่นกำกับหนังท่ีตัวเองรักมาทั้งชีวิตขนาดนี้ George Miller ก็ไม่ปล่อยให้มือว่างอีกง่ายๆ จัดการเตรียมทำ Production ภาคสองและสาม อีกเรียบร้อยแล้ว นี่จึงเป็นเหมือนปฐมบทของไตรภาค Mad Max ยุคใหม่ เห็นทีไตรภาค Star Wars ชุดใหม่ คงต้องมีคู่แข่งซะแล้วล่ะสิ แต่ในคอหนังอย่างเรา เป็นรางวัลแก่การชมทั้งคู่
Writer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
Midea Group จับมือกับ “บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” ผู้กำกับมากฝีมือจากภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง และ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน กรุงเทพฯ สร้างสรรค์ผลงานโฆษณา จากเรื่องจริงสร้างแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นสู้เพื่อความฝันของนางแบบสาวชาวบราซิล Paola Antonini ที่ประสบอุบัติเหตุต้องใส่ขาเทียม