เรียกว่าเกาะกระแสภาพยนต์ฉลาดเกมส์โกงที่กำลังมาแรงตอนนี้ก็ได้ แต่เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการโกงมันอยู่คู่กับสังคมว่าอย่างยาวนาน ซึ่งคงมาพร้อมกับที่มนุษย์รู้จักคำว่ากำไร ขาดทุน หรือผู้แพ้ ผู้ชนะแล้ว และเราก็คงได้เห็นภาพยนต์ที่พูดถึงกลโกงผ่านตามาบ้าง ในครั้งนี้เราจะชวนไปดู 6 หนังสุดโกงตั้งแต่ระดับโรงเรียน ประเทศไปถึงระดับโลก (และส่วนมากอิงเรื่องจริง) ที่น่าประทับใจและอยากให้ทุกคนไปหาดู แต่ไม่แนะนำให้ทำตามนะ
Ocean’s Eleven (2001)
ถ้าพูดถึงการโกงแบบหมู่คณะจะไม่ให้พูดถึง Ocean’s Eleven ก็คงไม่ได้ เพราะนี้คือภาพยนต์ที่รวมดาวโกงตัว Top ของวงการฮอลลีวูดทั้ง George Clooney, Brad Pitt, Andy Garcia ,Matt Damon และ Julia Roberts เรียกว่าแค่ไปดูฝีมือการแสดงก็คุ้มแล้ว ไหนจะกลโกงสุดเว่อร์ สารพัดอารมณ์ขันและความตื่นเต้นชนิดที่คุณจะลืมทานป๊อบคอร์นในมือ เรียกว่าครบสุดหนัง Blockbuster ที่ควรมีถือว่าเป็นหนึ่งในภาพยนต์สุดคลาสสิคที่ทุกคนไม่ควรพลาด
Catch Me If You Can (2002)
ทุกครั้งที่เราดูหนังเรื่องนี้จะต้องคิดในใจเสมอว่า นี่คือเรื่องจริงเหรอ?? Catch Me If You Can อ้างอิงมาจากเรื่องจริงของ Frank Abagnale Jr. เด็กมัธยมปลายที่หนีออกจากบ้าน ที่ถูก FBI ตามล่าสุดขอบฟ้าเพราะเขาปลอมตัวเป็นทุกอย่างได้ตั้งแต่ทนาย นักบินไปจนถึงหมอเพื่อเช็คปลอมที่มีมูลค่ากว่า $4,000,000 นี่คือหนึ่งในภาพยนต์ตำรวจจับผู้ร้ายที่คลาสสิคที่สุด และเป็นหนึ่งในผลงานที่โชว์แสดงอันเฉิดฉายที่สุดของ Leonardo DiCaprio ถ้าดูจบทุกคนคงคิดเหมือนเราว่านี่มันเรื่องจริง (เหรอว่ะ) เพิ่มเติมว่าเหตุการณ์จริงนี้เกิดขึ้นในยุค 60S
Cheats (2002)
นี่น่าจะเป็นภาพยนต์การโกงที่เราเข้าถึงง่ายที่สุด แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่ซื่อตรงสุดๆแต่ในวัยมัธยมก็ต้องพบเห็นการโกงมาบ้าง Cheats สร้างมาจากเรื่องราวจริงๆ Handsome Davis และผองเพื่อนที่ช่วยกันจะหาสารพัดวิธีการโกงข้อสอบตลอดการเรียนมัธยม แต่พอขึ้นปีสุดท้ายทุกอย่างก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ทำให้ภาพยนต์ดำเนินเรื่องราวไปสู่การ Coming of Age ความหมายมิตรภาพและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าแม้ทุกคนจะไม่ได้คำตอบ หรือมีปลายทางของชีวิตวัยรุ่นที่สวยงามเสมอไปแต่ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะจดจำไว้อยู่ดี
The Wolf of Wall Street (2013)
ไม่รู้ว่า Leonardo DiCaprio เหมาะจะเป็นคนโกงหรือยังไงเพราะเรื่องนี้ก็ได้เขาแสดงนำและอิงมาจากเรื่องจริงอีกแล้ว จากเหตุการณ์การคอรัปชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Wall Street ด้วยฝีมือของ Jordan Belfort โบร์กเกอร์หนุ่มที่ใช้ชีวิต Bad Boy ได้อย่างสุดโต่ง ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ที่ดู Bad แต่การกระทำของ Belfort ก็ Bad สุดๆเหมือนกัน แม้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเงิน หุ้น การลงทุนแต่ภาพยนต์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด น่าจะเรียกว่ามัน extreme เกินไปก็ได้เพราะนี่คือเรื่องราว American Dream ที่มีทั้งยา ปาร์ตี้และเซ็กซ์ ซึ่งทุกอย่างสุดโต่งแบบถ้าไม่ดูคุณจะไม่เข้าใจ
The Big Short (2015)
ถ้า Jordan Belfort คือคนที่ทำให้ Wall Street พัง The Big Short คือกลุ่มคนที่ตักตวงผลประโยชน์จะการล้มของเศรษฐกิจอเมริกาที่โด่งดังที่สุดกลุ่มหนึ่งในประวัติศาสตร์ ต้องบอกไว้ก่อนว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวเลข สถิติและประโยคสนทนาที่เราไม่น่าจะเข้าใจได้ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะภาพยนต์เรื่องนี้เต็มไปด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่แปลกและวิธีการอธิบายเรื่องเศษฐกิจที่เข้าใจง่ายไม่ต่างจากเพลงของ selena gomez เราไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าสิ่งที่ตัวละครจะเรื่อง The Big Short ทำคือการโกง แต่ก็ไม่สามารถบอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันขาวสะอาดเช่นกัน
RECOMMENDED CONTENT
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมี Florence Pugh ผู้ไ ด้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ซึ่งรับบทเป็นจิตแพทย์จีน แทตล็อก เช่นเดียวกับ Benny Safdie, Josh Hartnett, Rami Malek เรียกได้ว่านักแสดงเบอร์ใหญ่ทั้งนั้น