ถึงแม้ว่าประเทศไทยกับประเทศพม่าจะอยู่ใกล้เพียงนั่งเครื่องบินแค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่ “พม่า” กลับเป็นสถานที่ที่ดูห่างไกลและหลุดโผจากลิสต์ประเทศที่เราจะไปท่องเที่ยว ทั้งๆที่เราไปเยือนประเทศอื่นๆในฝั่งยุโรปและเอเชียมาแล้ว จนกระทั่งครั้งนี้ที่เรากับแฟนต้องเลือกว่าจะไปเที่ยวประเทศไหนดีในแถบอาเซียนต่อจากเวียดนาม เราสองคนตั้งใจว่าในเมื่อแฟนเราที่เป็นคนอังกฤษมาอยู่ไทยกับเราแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็น่าจะถือโอกาสนี้แวะเวียนไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของเราในแถบ Southeast Asia ก็น่าจะดี หลังจากที่ตัดสินใจกันอยู่สักพักว่าเราสองคนจะไปเที่ยวประเทศไหนกันดี เราสองคนก็ตัดสินใจไปพม่า ประเทศที่เราทั้งสองคนก็นึกไม่ค่อยออกว่าบ้านเมืองเขาจะเป็นแบบไหน และมีสถานที่ใดบ้างที่รอให้พวกเราไปเยี่ยมชม หลายคนเคยบอกเราว่าพม่าก็คงเหมือนกับบ้านเราเมื่อ 30-40 ปีก่อนนั่นแหละ แสงสีเสียงคงแทบจะไม่มี ไปเที่ยวแล้วน่าจะรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเวลาเดินช้าลง
บรรยากาศตลาดสดตอนเช้าในย่าน Chinatown
พวกเราตัดสินใจไปเที่ยวย่างกุ้งสามวัน โดยเลือกไปพักที่โรงแรมเปิดใหม่แห่งหนึ่งในย่าน Chinatown ซึ่งอยู่ในตัวเมืองพอดี กะว่าทริปนี้เรากับแฟนขอเดินทางไปไหนมาไหนแบบสะดวกสบายเข้าไว้จะดีที่สุด (เราสองคนชอบพลาดไปพักที่โรงแรมห่างจากตัวเมือง จะเดินทางทีก็ลำบากเสียเวลา ไม่เอาแล้วจ้า) พอเครื่องลงที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้ง แลกเงินอะไรเป็นที่เรียบร้อย เราก็ใช้บริการ taxi service ของสนามบินไป Chinatown ระหว่างที่เดินออกมานอกสนามบิน สิ่งแรกที่เตะตามากๆก็คือ คนพม่าแทบจะทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชาย ยังใส่ผ้าโสร่งหรือที่คนที่นี่เรียกกันว่า “ลองยี” (Longyi) ผู้ชายจะใส่สีเข้มๆหน่อย ในขณะที่ลองยีที่พวกผู้หญิงใส่จะมีสีสันและลวดลายมากกว่า เห็นแล้วเรารู้สึกชอบมาก เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของคนพม่าที่เราคิดว่ามีเสน่ห์ดี คราวนี้กลับมาถึงตอนที่พวกเราเรียกแท็กซี่ เรากับแฟนได้ใช้บริการแท็กซี่จากน้าใจดีชาวพม่า ที่ระหว่างทางก็ชี้ให้เราดูนู่นดูนี่ รวมทั้งตอนขับผ่านเจดีย์ชเวดากอง ที่เปิดไฟอย่างสวยงามตอนกลางคืน 20 นาทีต่อมาเรากับแฟนก็มาถึงโรงแรมที่ Chinatown พอดีว่าเวลาในตอนนั้นยังไม่ดึกมาก หลังจากที่พวกเรา check-in เอากระเป๋าเก็บที่ห้องเป็นที่เรียบร้อย เรากับแฟนเลยลงไปเดินเล่นแถวนั้นใกล้ๆเสียหน่อย แต่ปรากฏว่าร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมดแล้ว เหลือแต่ส่วนของตลาดสดที่ยังพอมีแม่ค้าขายผักนั่งพูดคุยกันอยู่ให้เห็นบ้าง เราสองคนเดินวนหาร้านกินอาหารเย็นอยู่สักพัก ร้านกาแฟหรือร้านฟาสต์ฟู้ดอะไรก็ไม่มี ร้านอาหารแบบพม่าท้องถิ่นเห็นแล้วก็ไม่ค่อยกล้าเข้า จนสุดท้ายพวกเรามาจบที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแถวนั้นแทน คิดเสียว่าค่อยไปเริ่มต้นหาอาหารพม่าทานกันในวันถัดไปแล้วกัน วันที่ความสนุกของทริปนี้จะเริ่มต้นขึ้น
Day 1: เดินชมเมืองย่างกุ้ง ไหว้พระที่เจดีย์ชเวดากอง และถนน 19th Street
ได้มาเที่ยวต่างแดนทั้งที เรากับแฟนเลยขอทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวให้เต็มที่ เตรียมกล้องให้พร้อมแล้วออกเดินชมเมืองแต่เช้า ช่วงเช้าบรรยากาศย่าน Chinatown คึกคักมาก มีพระพม่าหลายองค์เดินขบวนออกมาบิณฑบาต ออกมาริมถนนหน่อยก็เป็นตลาดสดย่อมๆ มีแม่ค้านั่งขายผัก ผลไม้ ขนม และดอกไม้เรียงกันเต็มฟุตบาท แต่ละคนก็ทาแป้ง “ทานาคา” สีเหลืองอ่อนบนแก้มเป็นวงใหญ่ๆ บางคนแปลกตาหน่อย ทาแป้งที่ว่าเป็นทางๆทั้งหน้าผากและจมูก นอกจากพวกผักผลไม้ที่ขายกันเต็มแล้ว เราสังเกตว่ามีอาหารชนิดหนึ่งหน้าตาดูแปลกๆ ขายเกือบจะทุกร้านแถวนั้น หน้าตาของมันจะเป็นก้อนกลมแบนขนาดใหญ่ มีทั้งสีขาวและสีน้ำตาล ดูเด้งดึ๋งพิกล ถ้ามีโอกาสก่อนกลับกะว่าค่อยลองซื้อทาน ส่วนผู้คนก็เดินซื้อของกันขวักไขว่ เรากับแฟนเลยขอหลบไปเดินในซอยที่สงบลงมาหน่อย ขอบอกว่าพอได้เข้ามาเดินในแต่ละตรอกซอกซอย ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 40 ปีก่อนก็คราวนี้แหละ เพราะสภาพของแต่ละตึกนั้นเข้าขั้นเก่าทรุดโทรม แต่ละบ้านแต่ละตึกสีลอกเกือบทั้งหมด ยังพอเห็นร่องรอยของการใช้ชีวิตก็ตรงที่มีหน้าต่างไม้เปิดรับแสงแดดและไม้ตากผ้าโผล่ออกมาให้เห็น ถึงแม้ว่าตึกและบ้านช่องของชาวบ้านแถวนี้จะดูเก่าผุพังเต็มที แต่เรากลับมองว่านี่คือเสน่ห์ของประเทศกำลังพัฒนาอย่างพม่า ที่ยังมีตึกเก่าๆให้พวกเราได้เห็นกันอยู่ค่อนข้างเยอะ ไม่เหมือนบ้านเราที่นับวันจะมีให้เห็นน้อยลงทุกวัน ส่วนผู้คนแถวนั้น สงสัยความที่ไม่คุ้นเคยกับการเห็นชาวต่างชาติอย่างเราสองคนที่เดินสะพายกล้อง ส่วนอีกคนก็เป็นฝรั่งมาเดินชมอะไรแถวนี้ ก็ต่างมองตามเราสองคนกันใหญ่ บางคนใจดีหน่อย หน้าตายิ้มแย้ม พร้อมทักทายเราสองคนว่า “มิงกะลาบา!” หรือสวัสดีในภาษาพม่านั่นเอง
เยี่ยมชมเจดีย์ชเวดากอง
หลังจากเดินชมย่าน Chinatown และตลาดยามเช้า พวกเราก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ โดยสถานที่ต่อไปที่พวกเราไปชมกันก็คือ National Museum หรือแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมพม่า ซึ่งตั้งอยู่ในย่านคณะทูต พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อนเข้าจะต้องฝากของในล็อกเกอร์เสียก่อน เพราะเขาห้ามถ่ายรูปและน้ำกระเป๋าเข้า ราคาเข้าชมคนละ 5,000 จ๊าด เป็นตึกจัดแสดง 5 ชั้น แสดงวิถีชีวิต เสื้อผ้า เครื่องทรง เครื่องประดับ เครื่องดนตรี ศิลาจารึก และอื่นๆอีกมากมาย ถือว่าเหมาะสำหรับใครที่สนใจจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพม่าแบบย่อในหนึ่งวัน ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เรากับแฟนก็มุ่งหน้าสู่ “เจดีย์ชเวดากอง” โดยพวกเราเดินทอดน่องชมเมืองไปในตัว ระหว่างที่เดิน เราก็จะได้กลิ่นของเครื่องหอมและเครื่องเทศแขกอยู่เป็นพักๆ โดยเฉพาะเวลาเราเดินผ่านร้านอาหารข้างทางหรือพวกร้านขายบุหรี่เล็กๆทั่วไป ที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ที่นี่แขกอินเดียค่อนข้างเยอะ เป็นทั้งพ่อค้าและพนักงานตามร้านต่างๆ เหมือนจะดูกลมกลืนกับชาวพม่าท้องถิ่นมากกว่าคนจีนเสียอีก ส่วนเรื่องถนนหนทางและสิ่งแวดล้อมโดยรวมก็ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน มีต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด ถนนก็กว้างขวาง มีวงเวียนเยอะ ถือว่าไม่แปลกเพราะประเทศนี้เคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมากว่า 120 ปี เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ สัก 20 นาทีในที่สุดพวกเราก็มาถึงเจดีย์ชเวดากอง แน่นอนว่ามาถึงย่างกุ้งทั้งทีจะไม่ไปเยี่ยมชมความงดงามอันลือลั่นของเจดีย์นี้ได้อย่างไร ก่อนจะเข้าไปข้างใน พวกเราต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าทิ้งไว้ด้านหน้าแถวๆแผนกซื้อตั๋ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย จะมาใส่ขาสั้นกระโปรงสั้นไม่ได้เด็ดขาด ประตูทางเข้าของเจดีย์ชเวดากองมีทั้งหมด 4 ทิศ พอพวกเราผ่านประตูฝั่งตะวันตกเข้ามาในบริเวณเจดีย์ พวกเราก็ถูกต้อนรับด้วยความยิ่งใหญ่อลังการของเจดีย์ทันที ตัวเจดีย์มีความสูงถึง 326 ฟุต สีทองอร่าม ทั้งทองรวมกว่า 8 ตัน ที่ใช้ในการสร้างเจดีย์ นี่ยังไม่นับยอดฉัตรที่มีอัญมณีล้ำค่าประดับอยู่อีกกว่า 4,000 กว่าเม็ด! เชื่อกันว่าเจดีย์นี้เป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้นอีกด้วย รับรองว่ามาที่นี่แล้วถ่ายรูปกันเพลินแน่นอน ว่ากันว่ายิ่งเย็นเท่าไหร่คนยิ่งเยอะ เพราะตอนกลางคืนเวลาเปิดไฟแล้ว สีทองของเจดีย์จะส่องประกายระยิบระยับ แต่ถ้าเลือกไปเยี่ยมชมเจดีย์ตอนกลางวันเหมือนเรา ก็จะได้เห็นความสวยงามอันยิ่งใหญ่แบบชัดๆ
เรือจำลองการะเวก ที่ทะเลสาบกันดอจี (Kandawgyi Lake)
เดินถ่ายรูปและชมความสวยงามของเจดีย์ชเวดากองกันจนหนำใจแล้ว เรากับแฟนก็ขอหนีความพลุกพล่านของผู้คนที่เจดีย์ ไปเดินเล่นชิลๆที่ทะเลสาบกันดอจี (Kandawgyi Lake) ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของเจดีย์ เดินไปสัก 10 นาทีก็ถึง ทะเลสาบกันดอจีเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะกันดอจี ซึ่งถือว่าเป็นสวนสาธารณะที่สวยงามมากแห่งหนึ่งในเมืองย่างกุ้ง เพราะจะเห็นฉากหลังเป็นเจดีย์ชเวดากองและยังเป็นที่ตั้งของเรือจำลองการะเวก (Karaweik) อันใหญ่โตอีกด้วย ที่นี่ยังมีสะพานไม้ยาวให้คนได้เดินชมบรรยากาศ พอดีว่าช่วงบ่ายแก่ๆที่เราไปเดินเล่นนั้นมีคนน้อย บรรยากาศที่นั่นเลยเงียบสงบ ค่าเข้าชมสวนสาธารณะที่นี่คนละ 200 จ๊าด สามารถเดินได้ทั่วยกเว้นเข้าชมเรือการะเวก เรากับแฟนเดินชมวิวไปเรื่อยๆจนเดินมาถึงอีกสุดฝั่งของสะพาน ความที่อากาศค่อนข้างร้อนบวกกับเดินกันมามาก พวกเราเลยแวะนั่งสั่งเบียร์พม่ามาดื่มให้ชื่นใจที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆแบบ outdoor ริมทะเลสาบ(รู้สึกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เมืองนี้กำลังบูม เพราะเดินไปทางไหนก็จะเจอ) หลังจากนั่งพักดื่มเบียร์จนหายเหนื่อย พวกเราก็เรียกแท็กซี่กลับไปยังโรงแรมที่ Chinatown และออกไปสำรวจสถานที่ hangout ยามค่ำคืนอีกครั้งตอนกลางคืน
“19th Street” หรือซอย 19 ที่เขาว่ากันว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจกลายเป็นเหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา
เรื่องอาหารการกินและแหล่งนั่ง hangout สำหรับทริปนี้ เรากับแฟนได้ทำการ research มาพอสมควร เพราะว่าการที่จะหาร้าน trendy ตกแต่งสวยๆไปนั่งชิลๆยามเย็นเหมือนบ้านเรานั้นคงจะหาได้ยาก แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่ถือว่ากำลังป๊อปในหมู่นักท่องเที่ยว นั่นก็คือ “19th Street” หรือซอย 19 ที่เขาว่ากันว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าสามารถกลายเป็นเหมือนถนนข้าวสารอย่างเต็มตัว รู้อย่างนี้เรากับแฟนก็ไม่รอช้าที่จะไปดูให้เห็นกับตา ปรากฏว่าซอย 19 ที่ว่านี้อยู่ใกล้โรงแรมเรามาก เดินออกมาจากซอย Chinatown ที่เป็นฝั่งตลาดสด ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปหน่อยก็ถึงแล้ว พอมาถึงก็เชื่อแล้วว่าทำไมเขาถึงเรียกซอยนี้ว่าเป็นถนนข้าวสารของบ้านเขา เพราะนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งและเอเชียเดินกันเต็มไปหมด ส่วนร้านอาหารต่างๆก็จัดโต๊ะให้ลูกค้านั่งเรียงกันเต็มทั้งสองฝั่ง บรรยากาศคึกครื้นมาก หนุ่มสาวชาวพม่าที่ทันสมัยและมีเงินหน่อยก็มานั่งกินดื่มกันเต็ม พอดีเรากับแฟนเห็นร้านๆหนึ่งที่นักท่องเที่ยวแถวนั้นเลี้ยวเข้าไม่ขาดสาย แถมยังมีป้ายติดว่าร้านนี้ค็อกเทลราคาถูก เราสองคนเลยลองเข้าร้านนี้ดู ซึ่งมีชื่อว่า “Ko San 19th St. Snack & Bar” ข้างในถือว่าทันสมัยใช้ได้ อาจจะไม่ได้สวย ฮิป คูล อะไรเท่ากับร้านบาร์ที่บ้านเรา แต่ก็ถือว่าดูดีและทันสมัยที่สุดในซอยนั้นแล้ว บรรยากาศร้านนี้สบายๆเป็นกันเอง มีเพลงสากลเปิดคลออยู่เบาๆ ส่วนอาหารก็จะเป็นพวกอาหารฝรั่งและจีน มีเบอร์เกอร์ French toast ข้าวผัด ผัดผัก และอีกสารพัดเมนูให้เลือก ถือว่าเป็นมื้อแรกของวันที่เรากับแฟนได้ทานอาหารอย่างเต็มอิ่ม
Day 2: นั่งเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเมืองดาลากับไกด์สาวน้อยชื่อนุยนุย
“You’re going to Dala by ferry? I can be your tour guide.”
นี่คือคำทักทายของสาวน้อยชาวพม่า เมื่อรู้ว่าเรากับแฟนต้องการนั่งเฟอร์รี่ข้ามฟากไปชมเมือง “ดาลา” เมืองท้องถิ่นดั้งเดิมซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับย่างกุ้ง จริงๆแล้วเราแทบจะไม่มีไอเดียเลยว่าทริปของวันนี้จะออกมารูปแบบไหน แต่แฟนเราบอกว่าเขาอยากลองนั่งเรือข้ามฟากไปสำรวจดูเมืองดาลาที่ว่านี้ดู เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนเขาทำกัน ส่วนตัวเราก็คิดว่า มาถึงย่างกุ้งทั้งทีก็ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวให้เต็มที่ไปเลย ไปไหนไปกัน เราสองคนเดินจากโรงแรมลัดเลาะตัวเมืองมาเรื่อยๆจนมาถึงท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากที่ว่า ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมหรูอันเก่าแก่ของที่นี่อย่าง Strand Hotel ตอนแรกเรากับแฟนกะว่าจะนั่งเรือไปเที่ยวชมนู่นชมนี่กันเองโดยที่ไม่ต้องมีไกด์ แต่พอเอาเข้าจริงๆพวกเรากลับไม่แน่ใจว่าที่จำหน่ายตั๋วอยู่ตรงไหน เดินหาอยู่หลายรอบก็ไม่เจอ ชาวพม่าที่เพิ่งแห่ลงจากเรือก็เดินกันเต็มไปหมด แล้วเรากับแฟนจะเดินไปถามใครดีละเนี่ย คนพม่าส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ด้วย ทันใดนั้นเอง ก็มีสาวน้อยชาวพม่าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับดูดอมยิ้ม ในมือมีโปสการ์ดหลายสิบใบแบบขายนักท่องเที่ยว เธอเดินมาขายโปสการ์ดกับพวกเรา บอกว่าไม่แพงเลยนะยู ไอขายยูห้าใบเลย ยูอยากได้ใบไหน แฟนเราบอกว่าไอซื้อใบเดียวพอ สาวน้อยคนนี้ก็บอกว่าไอต้องขายทีเดียวห้าใบเลย ยูช่วยไอเถอะนะ ว่าแต่…พวกยูกำลังจะไปไหนกันเหรอ? เรากับแฟนก็บอกว่า พวกเราอยากนั่งเฟอร์รี่ข้ามฟากไปดาลา แต่ไม่รู้ว่าต้องไปซื้อตั๋วที่ไหน สาวน้อยคนนี้ได้ยินดังนั้นก็ท่าทางตื่นเต้นและบอกว่า ยูอยากนั่งเฟอร์รี่ข้ามฟากไปดาลาเหรอ ไอเป็นไกด์ให้ยูได้นะ ยูอยากไปไหนในดาลา ไอพาพวกยูไปได้หมดเลย อยากจะนั่งมอเตอร์ไซค์หรือสามล้อก็บอกไอ เดี๋ยวไอจะช่วยดูให้ ไอคิดไม่แพง เรากับแฟนมองหน้ากันแบบ เอาแล้วไง จะเอายังไงต่อดี แต่พวกเราก็คิดว่าถ้ามีไกด์สักคนก็ดีเหมือนกัน จะได้พาเราเที่ยว ไปกันเองอาจหลงได้ เราสองคนเลยตกลงบอกน้องแกไปว่า โอเค ยูเป็นไกด์ให้พวกเราได้ แค่นั้นแหละ สาวน้อยคนนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจและบอกว่า “you want me to be your tour guide, I’m very happy!”
บ้านของนุยนุย
หลังจากนั้นเด็กคนนี้ก็พาพวกเราเดินไปซื้อตั๋วในตึกของท่าเรือ ปรากฏว่ามีชาวต่างชาติคนอื่นๆยืนรอขึ้นเรืออยู่เหมือนกัน พอเรากับแฟนจ่ายค่าตั่วเสร็จ (คนละประมาณ 8,000 จ๊าด) พวกเราก็มานั่งรอตรงท่าเรือกับไกด์สาวน้อยคนนี้ที่กำลังนั่งดูดอมยิ้ม พร้อมกับพูดคุยกับหนุ่มน้อยชาวพม่าอีกคน “นี่เพื่อนไอเอง” เธอแนะนำหนุ่มน้อยหน้าคมเข้มที่นั่งข้างๆให้พวกเรารู้จัก “เขาจะไปกับพวกเราด้วย เป็นไกด์เหมือนกัน” อ่าว! เรากับแฟนมองหน้ากันขำๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราถามสาวน้อยคนนี้ว่าเธอชื่ออะไร เธอบอกว่าเธอชื่อนุยนุย อายุ 15 ปี บ้านอยู่ในหมู่บ้านในเมืองดาลา มีน้องชายและพี่สาวหนึ่งคน ทั้งหมดอยู่กับแม่ ส่วนพ่อนั้นเสียชีวิตเพราะสึนามิ หน้าตาเด็กคนนี้ก็น่ารักดี ทาแป้งทานาคาเป็นวงใหญ่เต็มแก้ม ท่าทางกล้าแสดงออก พูดภาษาอังกฤษอย่างไม่เคอะเขินเลย ถึงแม้ว่าสำเนียงจะยังฟังแปร่งๆอยู่ก็ตาม ส่วนหนุ่มน้อยอีกคนปรากฏว่าชอบดูบอล พอรู้ว่าแฟนเราเป็นคนอังกฤษก็ชวนคุยใหญ่ นั่งรออยู่สัก 10 นาทีเรือเฟอร์รี่ก็มาเทียบท่า ขอบอกว่าเรือข้ามฟากแม่น้ำย่างกุ้งไปฝั่งดาลา ไมได้เป็นแบบเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา เรือเฟอร์รี่ที่เขาใช้กันนั้นใหญ่มหึมา มีสองชั้น ชั้นล่างเหมือนจะสำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่หอบเอาหมู เห็ด เป็ด ไก่ จักรยาน มอเตอร์ไซค์ หาบ ตะกร้า ขึ้นเรือ ส่วนชั้นบนจะสำหรับที่นั่งปกติ มีที่นั่งไม่มากเท่าไหร่ มีบริเวณเดินค่อนข้างกว้าง ท้ายเรือยังมีร้านขายน้ำ ขายขนมอีกด้วย นุยนุยบอกว่าถ้าอยากไปเห็นบ้านเธอในดาลา เธอยินดีจะพาเรากับแฟนไปเยี่ยมชม นั่งชมวิวเพลินๆไม่ทันไร เรือเฟอร์รี่ก็เทียบฝั่งดาลาเป็นที่เรียบร้อย ก้าวออกจากท่าเรือปุ๊ป ก็เห็นสามล้อจอดยืนต้อนรับรอลูกค้ากันเต็มไปหมด เรากับแฟนก็เดินตามไกด์ทั้งสองของเราเข้าไปตามถนนเรื่อยๆ มอเตอร์ไซค์และสามล้อวิ่งกันให้ควั่ก สองข้างทางก็เป็นตลาดสดและร้านค้า ทุกอย่างดูลายตาไปหมด แต่ตอนหลังนุยนุยและเพื่อนไกด์หนุ่มน้อยอีกคนก็เรียกสามล้อมาสองคัน เรานั่งสามล้อคันแรกกับนุยนุย ส่วนแฟนเราก็นั่งสามล้ออีกคันตามหลังกับไกด์หนุ่มน้อย (ชื่ออะไรเราก็ไม่แน่ใจ) ขึ้นสามล้อปุ๊ปคราวนี้ก็เริ่มทริปสำรวจเมืองดาลากันได้ นุยนุยบอกว่าสถานที่แรกที่จะพาไปคือวัดอันเก่าแก่ของที่นี่ ต้องนั่งสามล้อผ่านหมู่บ้านเข้าไปหน่อย พี่สามล้อคันของเราก็ใจดียิ้มแย้ม ชวนเราคุยตลอด สักพักก็มาถึงเจดีย์ชเวซายัน (Shwe Sayan) ที่นุยนุยบอกว่าเป็นเจดีย์ที่มีชื่อเสียงของดาลา ข้างในวัดมีพระองค์หนึ่งที่ชาวดาลานับถือมาก นอนสต๊าฟเอาไว้ในตู้กระจก ทั้งตัวทำด้วยทอง คนที่นี่เขาเชื่อกันว่าไม่กี่ปีก่อนพระองค์นี้อยู่ดีๆก็ลืมตาขึ้นข้างเดียวหนึ่งวันก่อนที่พายุไซโคลนจะถล่ม
ต่อมาพี่สามล้อก็ถีบพาพวกเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่งกลางทุ่งนา นุยนุยบอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในดาลา ไม่มีไฟฟ้าใช้ใดๆทั้งสิ้นนับตั้งแต่โดนพายุสึนามิถล่ม พอเราลงเดินชมหมู่บ้านนี้ ไม่ทันไรก็มีเด็กๆตัวเล็กๆ 3-4 คนตะโกนพร้อมกับโบกมือทักทายเราว่า “มิงกะลาบา!” คนที่นี่อยู่ในกระท่อมเล็กๆท่ามกลางพื้นดินแตกระแหง แต่แปลกที่เด็กๆในหมู่บ้านนี้กลับมีแต่รอยยิ้ม วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เห็นความน่ารักน่าชังของเด็กน้อยเหล่านี้เราก็อดที่จะถ่ายรูปพวกเขาเก็บไว้ไม่ได้ สถานที่ต่อไปที่พวกเราไปชมก็คือบ้านของนุยนุย อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านแรกไปค่อนข้างพอสมควร ระหว่างทางเราก็ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวดาลาอย่างเต็มตา ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็หาบของไว้บนหัว บ้างก็ขายของข้างทาง ทุกคนใส่ลองจีและคีบรองเท้าแตะหมด บ้านช่องบ้างก็เป็นกระท่อม บ้างก็เป็นบ้านเล็กๆทาสีสดใสดูดีขึ้นมาหน่อย ส่วนหมู่บ้านของนุยนุย จะว่าจนก็จน แต่ก็ยังดีกว่าหมู่บ้านที่โดนสึนามิถล่มมาหน่อย บ้านของนุยนุยทำจากไม้ไผ่ทั้งหมด มีน้องชาย แม่ และพี่สาวของนุยนุยออกมาต้อนรับพวกเรา แต่ละคนท่าทางเขินอายแต่ก็ยิ้มเป็นมิตรกับพวกเรา พอดีว่าช่วงเช้าของวันนั้น เรากับแฟนแวะซื้อเจ้าอาหารหน้าตาแปลกๆก้อนกลมแบนหนึบๆที่มีขายแทบจะทุกร้านใน Chinatown มาลองชิมดู สรุปว่ามันเรียกว่า Chinese cake แต่เราสองคนกินไม่หมด เลยยกส่วนที่เหลือให้นุยนุยกับครอบครัวไปแบ่งกันทาน พวกเรานั่งพักดื่มน้ำและกาแฟที่แม่ของนุยนุยชงให้ พลางนั่งดูทีวีขนาดเล็กที่กำลังฉายละครตลกของพม่าในบ้านนุยนุยสักครึ่งชั่วโมงให้หายร้อน หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อ โดยสถานที่สุดท้ายที่นุยนุยและพี่สามล้อพาไปก็คือตลาดประจำเมืองดาลา ซึ่งก็เหมือนตลาดสดทั่วไป มีขายทั้งผัก ผลไม้ ไข่ เครื่องประดับ สบู่ น้ำหอม ครีม เครื่องครัว และอีกสารพัด พวกเราเดินเล่นกันในนั้นไม่นานก็ขึ้นสามล้อเตรียมกลับท่าเรือ
ไกด์สาวน้อยนุยนุย กับไกด์เด็กหนุ่มอีกคนที่เราไม่ได้ถามชื่อ
ก่อนจากกันเรากับแฟนก็ต่างขอบคุณพี่สามล้อทั้งสองที่ถีบรถพาพวกเราชมดาลารวมทั้งหมดสี่ชั่วโมง พี่ทั้งสองก็ยิ้มบ๊ายบายและขอ shake hand กับเราทั้งสอง ก่อนจะถีบรถสามล้อจากไป ส่วนนุยนุยและไกด์หนุ่มน้อยอีกคนก็นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากกลับมายังฝั่งย่างกุ้งกับพวกเราสองคน ตลอดทั้งทริปนุยนุยจะคอยถามเรากับแฟนอยู่ตลอดว่า “you happy?” พอลงจากเรือก่อนจะแยกย้ายกัน เราเลยขอบคุณนุยนุยและไกด์หนุ่มน้อยที่คอยดูแลเราทั้งสองตลอดทั้งทริปและก็อวยพรขอให้พวกเขาทั้งสองได้ลูกค้าเยอะๆในแต่ละวัน เด็กทั้งสองคนนี้ก็ยิ้มแบบเขินๆก่อนที่เราจะขอถ่ายรูปพวกเขาเก็บไว้…พอพวกเราเดินกลับมาอีกฝั่งถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม Strand Hotel และสถานทูตอังกฤษ เราก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว พวกเราได้ไปเห็นความเป็นอยู่อันยากจนของเมืองดาลา ในขณะที่อีกฝั่งของแม่น้ำนั้นกลับมีโรงแรมห้าดาวอันเก่าแก่หรูหราอย่าง Strand Hotel และร้านอาหารสไตล์ฝรั่งอย่างดีหลายร้านตั้งอยู่ ช่างดูขัดแย้งและเป็นคนละโลกเหลือเกิน
Day 3: วันกลับ
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่ทันไรเราก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว แต่ก่อนที่เรากับแฟนจะต้องขึ้นเครื่องกลับบ่ายโมง ช่วงเช้าพวกเรายังพอมีเวลาอยู่ เพื่อไม่ให้เสียโอกาส พวกเราเลยลองนั่งรถไฟจากสถานีย่างกุ้งไปลงสถานีที่อยู่ใกล้ที่สุดกับสนามบิน รถไฟนี้เรียกว่า “Yangon Suburban Train (Circle line)” โดยรถไฟจะวิ่งรอบเมืองย่างกุ้ง ใช้เวลาในการเดินทางเป็นวงรอบ 3 ชั่วโมง เป็นรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวชมเมืองย่างกุ้งโดยเฉพาะ รถไฟนี้จะให้บริการรอบเมืองแก่ประชาชนธรรมดาและนักท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นจะเห็นวิถีชีวิตของชาวย่างกุ้งได้มากขึ้น หนึ่งชั่วโมงแรกจะยังไม่ผ่านพ้นตัวเมืองย่างกุ้ง ชั่วโมงที่สองจะเริ่มเห็นชนบทของพม่า สองฝั่งทางทำนาผักบุ้ง บางสถานีก็จะมีตลาดสด แม่ค้าพ่อค้าขายผัก ผลไม้ กันอย่างคึกคัก รถไฟนี้ค่อนข้างจะแล่นช้า แต่สภาพไม่ได้เก่าอะไรมาก คนที่มีเวลาทั้งวันไม่ได้เร่งรีบไปไหน ก็สามารถนั่งกินลมชมวิวได้สบาย พอดีว่าเรากับแฟนนั่งมาถึงสถานีแปรเวทซิกคอนที่ใกล้ที่สุดกับสนามบินนานาชาติย่างกุ้งตอนเที่ยงตรงพอดี พวกเราเลยลงจากรถไฟ และเรียกแท็กซี่แถวนั้นตรงไปยังสนามบิน
ถ้าจะให้เราอธิบายทริปของเราในแต่ละวันทั้งหมดในเมืองย่างกุ้ง เราอาจจะเก็บรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมดเท่ากับการที่คุณไปเที่ยวให้เห็นกับตา เราเชื่อว่ารอยยิ้มและความเป็นมิตรของชาวพม่าที่นี่จะทำให้คุณรู้สึกเป็นที่ต้อนรับ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขารู้ว่าคุณเป็นชาวต่างชาติ พวกเขาจะไม่รอช้าที่จะพูดว่า “welcome to my country” ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราประทับใจ แน่นอนว่าเมืองย่างกุ้งอาจจะไม่ได้มีวิวทิวทัศ ตึกรามบ้านช่องอันทันสมัยสวยงามตระการตาทุกมุมถนนให้พวกเราเห็น แต่วิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของคนที่นี่ต่างหากที่มีเสน่ห์ การมาเที่ยวเมืองนี้แน่นอนว่าการได้มา “เห็น” นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความ “รู้สึก” อันพิเศษที่คุณจะสัมผัสได้และติดตัวกลับไปจากเมืองนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นอย่ารอช้า ประเทศพม่าเพิ่งเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว อีกไม่นานจะต้องมีนักท่องเที่ยวแห่กันไปเต็มแน่นอน ไปเที่ยวและซึมซับวัฒนธรรมของพม่าเสียแต่ตอนนี้ ก่อนที่วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของประเทศพม่าจะจางหายไป
Writer: Thip S. Selley
Image by: Thip S. Selley
RECOMMENDED CONTENT
น่าจับตามองมากที่สุด สำหรับศิลปินคู่หูอินดี้ป๊อปอย่าง “Landokmai” (ลานดอกไม้) ประกอบด้วย “อูปิม - ลานดอกไม้ ศรีป่าซาง” (ร้องนำ) และ “แอนท์ - มนัสนันท์ กิ่งเกษม” (กีตาร์, คอรัส) สังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) ด้วยความชัดเจนโดดเด่นทางด้านดนตรีที่ผสมผสานความเป็น Dream-pop และความวินเทจแบบ Lo-fi ไว้ด้วยกันได้อย่างมีเสน่ห์