Nike Hyperadapt 1.0 Black/White-Blue Lagoon…ขึ้นชื่อว่าเป็นคนชอบและสะสมรองเท้าผ้าใบหรือ Sneakerhead แล้วเนี่ย แน่นอนอยู่แล้วว่า ไม่ว่าใครก็ตามย่อมต้องมี Holygrail หรือ Wishlist รองเท้าที่ตัวเองอยากได้ ไม่ว่ามันจะหายากราคาแพงมากมายแค่ไหน หรือสำหรับบางคนอาจจะเป็นเพียงแค่รองเท้าธรรมดาๆ ในสายตาของคนอื่นๆ ที่มีความหมายต่อจิตใจของเราก็เป็นได้ เช่นเดียวกันกับที่เราเองก็มี Wishlist หลายอันที่อยากได้ แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ความหายาก ราคารีเซลที่สูงลิบลิ่วเกินตัว หรืออื่นๆ ทำให้ Wishlist ดังกล่าวก็ยังคงเป็น Wishlist แบบนั้นอยู่ต่อไป
จนกระทั่งได้เติมเต็มอีกหนึ่ง Wishlist ของเราเมื่อปีที่แล้วที่มีโอกาสได้ครอบครองซะที ซึ่งก็คือ Nike Hyperadapt 1.0 ที่เปิดตัวไปเมื่อมีนาคมปีที่แล้ว โดยเป็นรองเท้า Self Auto-Lacing Shoe คู่แรกในโลกที่มี “วางจำหน่าย” ในแบบ Retail แต่หลายๆ คนอาจจะแย้งเกี่ยวกับ Nike Mag ที่เป็น Self Auto-Lacing เหมือนกัน ซึ่งเราถือว่าเป็นคนละเคส เพราะว่า Nike Mag นั้นวางจำหน่ายในลักษณะของการบริจาคเงินเพื่อซื้อสล๊อตและจับฉลากสุ่มหาคนโชคดีที่ได้รองเท้า แตกต่างจากการวางจำหน่ายของรองเท้าคู่นี้ที่วางขายในลักษณะของ Raffles เพื่อสิทธ์ซื้อรองเท้า
คนที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็คท์นี้ก็คือ Tinker Hatfield, Tiffany Beers ที่เป็น Senior Innovator และ Mark Parker ที่ต่อยอดมาจากโปรเจ็คท์ Nike Mag อีกทีนึง โดยเป็นรองเท้าที่มีวิธีการทำงานแบบอัตโนมัติ เมื่อเราสวมเข้าไปในรองเท้า ตัวเซ็นเซอร์ตรงส้นเท้าจะทำงานทันทีด้วยสลิง 6 เส้นที่ถูกดึงรัดเข้าด้วยมอเตอร์ขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ตรง Case ข้างล่าง (Adaptive Lacing) และสามารถปรับระดับความกระชับด้วยปุ่ม + และ – รวมไปถึงไฟที่สว่างและกระพริบหลังจากที่ใส่รองเท้าตรงตำแหน่ง Case ด้านล่างของ Midsole และตรง Heel Counter ด้านหลัง ซึ่งคำว่า E.A.R.L. ตรงลิ้นรองเท้าด้านซ้ายมาจาก Electro Adaptive Reactive Lacing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับรองเท้าคู่นี้นั่นเอง ส่วนของ Upper เป็น Flyknit ที่มีแพทเทิร์นเฉพาะของคู่นี้ โดยรองเท้าจะมาพร้อมกับที่ชาร์จที่เป็นลักษณะแม่เหล็ก Attach กับส่วน Case ด้านล่างที่มีตัวหนังสือ MT2 ซึ่งมาจากตัวหนังสือแรกของชื่อของ 3 คนข้างบนที่เป็นเจ้าของโปรเจ็คท์นี้ โดยใช้เวลาในการชาร์จรองเท้าครั้งละราวๆ 2 ชั่วโมงและสามารถใช้งานได้ราวๆ 2-3 อาทิตย์ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานรองเท้า
ความโชคดีอีกอย่างนึงของเราก็คือเรื่องของจังหวะและราคาที่ได้มาในราคาโคตรมิตรภาพ จากเพื่อนของเพื่อนที่เบ็ดเสร็จแล้วแพงกว่าราคารีเทลอยู่นิดเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องของการขนส่ง ด้วยขนาดของกล่องที่ใหญ่มากและหนักมาก ก็เลยวานให้เพื่อนอีกคนรับของและส่งเฉพาะรองเท้าและที่ชาร์จมาให้ ก่อนที่กล่องจะส่งตามมาทางเรืออีกทีนึง สิ่งที่แปลกใจก็คือ มันเป็นรองเท้าที่ใส่สบายมากๆ คู่นึงเลยทีเดียว เพียงแต่ว่ามันมีข้อจำกัดตรงที่ เมื่อปล่อยสลิงจนสุดเต็มที่ของมันแล้ว ตัวรองเท้าไม่ได้เปิดกว้างมากนัก ทำให้เวลาสวมเข้าไปค่อนข้างยากนิดนึง แต่ความรู้สึกตอนมันรัดเท้าเราเนี่ยสุดยอดมาก
ในความรู้สึกของเรา รองเท้าคู่นี้ไม่ใช่แค่เป็นรองเท้าที่รัดเองได้ แต่มันคืออีกหนึ่งชิ้นส่วนประวัติศาสตร์ของ Sneakers Culture เลยก็ว่าได้ ซึ่งมันคือต้นแบบของอะไรหลายๆ อย่างที่จะต่อยอดไปสู่สิ่งอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น มันอาจจะกลายเป็นรองเท้าที่ช่วยเหลือผู้พิการที่ไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าเองได้ เป็นต้น มันจึงเป็นเรื่องของ Innovation และการสร้างสรรค์จินตนาการจากภาพยนตร์ที่กลายมาเป็นของจริงๆ
contributor : Jeed S. Muangsirikwan
.
RECOMMENDED CONTENT
หลังจากคว้ารางวัลกรังปรีซ์ สาขาเพลงประกอบโฆษณายอดเยี่ยมจากเวทีคานส์ ไลอ้อน 2017 อาดิดาส ออริจินอลส์ยังคงพัฒนาผลงานสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง