“ TO BE MODERN IS NOT A FASHION, IT IS A STATE.” แฟชั่นเซ็ต ที่บ่งบอกถึงตัวตนของสไตล์ Modern Retro ผ่านการใช้สีและฟอร์มที่เรียบง่าย แต่มีเส้นสายชัดเจนที่เหล่าดีไซเนอร์ในยุค 1950-1970 นั้นมักหยิบมาเล่น ไม่ว่าจะเป็นลายกราฟิก ลายตารางหมากรุก รูปทรงเรขาคณิต (Geomatric) ซึ่งเน้นความ Free form มากขึ้นจากเมื่อก่อน ในช่วงแรกอาจใช้แค่สี Earth Tone เนื่องจากวัสดุในอุตสาหกรรมแฟชั่นยังไม่ได้มีให้เล่นเยอะ แต่มาในยุคหลัง กลับมีความกล้าที่จะใช้สีสันฉูดฉาดแบบ Color Block กลิ่นอาย Pop Art รวมถึงเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุวัสดุแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีในยุคไหนมาก่อน ทั้งพลาสติก ทองเหลือง (Brass) และเมทัลลิกวับวาว  

อย่าง The Trench Coat โค้ทตัวยาวเมทัลลิกของ Burberry ซึ่งกล้าเล่นกับวัสดุที่ดูล้ำสุดๆ หรือในอีกแง่หนึ่ง การมาถึงของ Modern Retro ก็ยังเปลี่ยนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดในการแต่งตัวของผู้หญิงยุคโมเดิร์นด้วยเช่นกัน ลองนึกถึงภาพผู้หญิงยืนคีบบุหรี่ในแจ็กเก็ตสูท Le Smoking ของ YSL ดูก็ได้ นี่แหละ Movement ที่แท้จริงแห่งยุคสมัยและทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยตาย! เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้อย่างลงตัว

ถ้าย้อนกลับไปพูดถึงแฟชั่นและแรงบันดาลใจ นั้นก็คือจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ส่งแรงกระเพื่อมมากที่สุดครั้งหนึ่ง หลังจากที่สงครามโลกสิ้นสุดลง ในช่วงปี 50s เมื่อสภาพบ้านเมืองเริ่มมีชีวิตชีวา เศรษฐกิจซบเซามานานกลับเริ่มคึกคัก ความอัดอั้นจากช่วงเกิดสงครามถูกคลายออก ผู้คนมีอิสระทางความคิดและการแสดงออกแบบไร้ขีดจำกัด และ ‘แฟชั่น’ ก็กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งของผู้คนในศตวรรษหลังสงครามที่ใช้ปลดแอกความคิด จึงเกิดเป็นยุค Modernlism ยุคที่ความคิดใหม่ๆ พร้อมจะฉีกออกจากกฎเกณฑ์เดิมๆ

เมื่อผ่านยุคสมัยมาจนถึงตอนนี้ ของเก่ากับใหม่ถูกเบลน์อย่างกลมกล่อมจนกลายมาเป็นสไตล์ ‘Modern Retro’ เป็นการหยิบเอาของเก่ามามิกซ์ให้แมทซ์กับสิ่งที่มีในปัจจุบันจนกลายเป็นความร่วมสมัย

แต่ Movement ของ Modern Retro ไม่ได้เพียงส่งผลต่อโลกแฟชั่นเพียงอย่างเดียว ยังรวมถึงงานออกแบบ และงานศิลปะแขนงอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น งานอินทีเรีย ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงงานสถาปัตยกรรมที่ก็รับเอาวัฒนธรรม Modern Retro มาเต็มๆ

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เป็น Icon ในยุคนั้นก็คงจะเป็นผลงานของ Le Corbusier สถาปนิกที่โด่งดังจากการออกแบบอาคารพี่พักอาศัยสไตล์ Brutalism ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา มีการใช้วัสดุคอนกรีตเปลือยเป็นส่วนใหญ่ ผสมผสานกับความโผงผางของการสร้างฟอร์มที่เกิดจากการสร้างรูปทรงเรขาคณิตซ้ำๆ กลายเป็นความงามที่อยู่บนความแข็งกระด้าง ซึ่งงานสถาปัตยกรรมแบบนี้ก็ยังมีให้เห็นกันมาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นเสน่ห์ที่เกิดจากการหลอมรวมอดีตและปัจจุบันให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ราวกับว่ากาลเวลาก็ไม่สามารถลดคุณค่าของมันได้เลย

TO BE MODERN IS NOT A FASHION, IT IS A STATE.

It is necessary to understand history, and he who understands history knows how TO FIND CONTINUITY BETWEEN THAT WHICH WAS, THAT WHICH IS, AND THAT WHICH WILL BE.

– Le Corbusier

เช่นเดียวกับ NOBLE STATE 39  พร้อมพงษ์ (สุขุมวิท 39) ที่แสดงออกถึงความร่วมสมัยอย่างชัดเจน แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เห็นได้จากการใช้วัสดุที่เป็นคอนกรีตเปลือยซะเป็นส่วนใหญ่ ผสมผสานกับความโผงผางของการสร้างฟอร์มที่เกิดจากการสร้างรูปทรงเรขาคณิตซ้ำๆ เกิดเป็น “that which is” การออกแบบ NOBLE STATE 39

จากเดิมที่เคยเป็นถิ่นฐานของผู้ดีเก่า ที่ปัจจุบันก็ยังอาศัยอยู่ในย่านนี้มาเป็นสิบๆปี จนวันนี้ได้ต้อนรับกลุ่มคนที่เข้ามาใหม่ กลายเป็น multicultural neighborhood ของผู้คนจากหลายเชื้อชาติ และการผสมผสานระหว่างสิ่งเก่าและใหม่ของโซนที่อยู่อาศัยนี้เอง ที่ทำให้ย่าน ‘พร้อมพงษ์’ กลายเป็นศูนย์รวมความ Unique ที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร

แฟชั่นเซตนี้เองที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่โนเบิล ต้องการรักษาคุณค่า และความสวยงาม ไม่ให้ลดลงแม้เวลาผ่าน โดยผ่านการจินตนาการของผู้ออกแบบ และการสร้างจุดเชื่อมโยงจากอดีต สู่วันนี้ และต่อไปถึงวันข้างหน้า MODERN IS NOT A FASHION, IT IS A STATE.

ติดตามเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่  >>> https://goo.gl/XBq98t
#พร้อมมั้ยพร้อมพงษ์ #Noblestate39 #สุขุมวิท39