เมื่อ12ปีก่อน เรามีโอกาสขับรถแวะเที่ยวเมืองเล็กน่ารักริมทะเล ชื่อว่า Vernazza ประทับใจเมืองนี้มาก ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็น1ใน5เมืองดังแห่งอิตาลี กลับมาเมืองไทยแล้วถึงได้รู้ทีหลัง เลยตั้งใจไว้ว่า จะมาเที่ยวที่นี่อีกแน่ๆ…แต่จะไม่ขับรถมาแล้วนะ เพราะกว่าจะวนหาที่จอด กว่าจะเดินจากที่จอดมาถึงเซ็นเตอร์ เล่นเอาเหนื่อยและเครียดจนแทบท้อ วันนี้ฉันเลยทำการบ้านมาดีกว่าครั้งก่อน แถมยังตั้งใจไว้แล้วว่า จะต้องเที่ยวให้ครบทั้ง5เมืองให้จงได้
“One Fine Day in Cinque Terre ทริปหนึ่งวัน ห้าเมืองจิ๋ว แบบชิวๆ”
ขอเกริ่นพอเป็นพิธี ในภาษาอิตาเลียน Cinque(ชิงเคว)แปลว่า “5”
ส่วน Terre(แทร์เร) แปลว่า Landsหรือดินแดน แต่ขอเรียกว่า “เมือง” แล้วกัน ฟังดูไม่เว่อวังดี
5เมืองเก่าแก่ที่เรียงรายกันอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้ จัดเป็นมรดกโลกและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอิตาลีเลยล่ะ
แล้วถ้าไม่ขับรถไป จะไปยังไงดี?
เนื่องจากฉันไม่ชอบพักในสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ เพราะอย่างที่รู้ๆกัน ว่าตามแหล่งดังกล่าวอาหารหรือร้านรวงส่วนใหญ่มักจะมาในสไตล์ขายนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาของทุกอย่างถูกปั่นให้แพงหูดับกว่าราคาจริงซัก2-3เท่าเป็นอย่างปราณี ดังนั้น เราจึงเลือกอยู่ที่เมืองข้างเคียง นามว่า La Spezia แทน
เราสามารถเลือกเที่ยว5เมืองด้วยเรือหรือรถไฟก็ได้ แต่ครั้งนี้เราเลือก “รถไฟ”
จากสถานีรถไฟหลักของ La Spezia จะมีรถไฟสายสั้นๆ ที่วิ่งเลียบทะเลจาก La Spezia ไป Cinque Terre แล้วไปจบที่ Levanto แล้วก็วนกลับมาเป็นลูปแบบนี้ ความถี่ก็ทุกๆครึ่งชั่วโมง ค่าตั๋วรายวัน ที่จะนั่งกี่เที่ยวก็ได้จนเที่ยงคืนของวันที่ซื้อ ตกใบละ16ยูโร(มีรหัสwifiที่ด้านหลังตั๋ว) *ก่อนขึ้นรถก็อย่าลืมตอกบัตร validate กันด้วยนะ ไม่งั้นโดนตรวจขึ้นมาก็เสียหายหลายยูโรอยู่ เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่สนว่าเราซื้อบัตรหรือไม่ ถือว่ายังไม่เปิดการใช้งาน
ช่วงหน้าร้อนของที่นี่ ถึงจะร้อนนรกหมกไหม้ แต่ข้อดีคือ แสงอาทิตย์จะค้ำฟ้าจากตีห้ายันสี่ทุ่ม เราจึงไม่ต้องรีบตื่นแต่ไก่โห่ เริ่มเที่ยวจริงซัก10โมงกำลังสบาย ฉันเลือกไปลงเมืองเหนือสุดแล้วค่อยๆไล่ไต่ลงมาจนครบทั้ง5
Monterosso: นอนเกาพุงชิวๆ ริมหาดทราย
เมืองแรกที่ไปลงคือ Monterosso ลงสถานีรถไฟปุ๊บก็ถึงหน้าหาดปั๊บ เมืองนี้เป็นเมืองเดียวที่มีหาดทรายให้ได้นอนเกาพุงชิวๆ แต่เอาจริงคือไม่ชิวเท่าไหร่ เพราะช่วงสิงหาอย่างนี้ เป็นช่วงพักร้อนเด็กยุโรปปิดเทอมกัน คนก็จะล้นทะลัก พวกโรงแรมหรือร้านอาหารเจ้าของชายหาดจะเอาร่มกับรั้วมาตั้งแบ่งพื้นที่ของใครของมัน ถ้าใครไม่ได้มาใช้บริการแต่อยากลงเล่นน้ำ ก็จะต้องคอยส่องหาป้ายฟรีบีช เพื่อที่จะลงหลักปักฐานเอาผ้าหรือร่มมาปักเป็นดินแดนส่วนตน แต่ไม่ต้องกังวลมองหาป้ายมากนัก เพราะแค่ดูเอาก็จะสามารถแยกได้เลยว่าตรงนี้เป็นที่สาธารณะหรือไม่(ร่มมันจะดูสะเปะสะปะสีไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่น่ะ) ส่วนทรายที่หาด ก็ตามภาพเลย…ริมหาดเมืองนี้อัดแน่นไปด้วยโรงแรมและร้านอาหาร แต่เนื่องจากข้าวเช้ายังอิ่มอยู่ หลังจากเดินเล่นเหล่กล้ามบึกบึนบนชายหาดซักพัก ฉันก็โดดขึ้นรถไฟไปต่อเมืองที่สอง Vernazza
*ครั้งที่แล้วฉันมาเดือนมิถุนา คนน่าจะน้อยกว่านี้ซักร้อยเท่า ถ้าคนไทยมา ขอแนะนำให้มาช่วงพฤษภา-กลางกรกฎาจะดีกว่า น่าจะเดินสนุกไม่ชนกันหัวโขกขาขวิดขนาดนี้
Vernazza: ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องอาหารทะเล
Vernazza ยังสวยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือร้านอาหารบนหน้าผาสูง ที่นี่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องอาหารทะเล ฉันเลยปีนบันไดวนขึ้นไปเลือกมา 1 ร้านแบบมั่วๆ สั่งสลัดทะเลที่มีปลาหมึกยักษ์สดๆกับกุ้งแน่น อร่อยและสดชื่นหอมเลม่อนมาก ต่อด้วยสปาเกตตีทะเล ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ สนนราคาอยู่ที่ประมาณหัวละ30ยูโร(ไม่มีไวน์นะ) หลังจากท้องอิ่ม เราก็ไต่ขึ้นไปยอดเขามีปราสาทเก่าที่คิดค่าเข้า1.5ยูโร บนปราสาทไม่มีอะไรเกี่ยวกับปราสาทให้ดู มีแต่ดาดฟ้าที่สามารถมองลงมาเห็นทะเลอีกฝั่งและวิวบ้านเรือนกับหาดจิ๋วๆข้างล่าง
ตามตรอกซอกซอยบนเขา เราสามารถลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ จะเจอบ้านและร้านขายของน่ารักมากมาย ที่นี่ พวกแก้วจานกระเบื้องเค้าเพ้นท์ด้วยมือ คุณภาพดีและสวยงามเหมาะแก่การซื้อกลับมาเป็นของฝากถ้าหิ้วไหว
Corniglia : เมืองที่ไอศครีมขายดีที่สุด
ต่อกันที่เมืองที่สาม Corniglia เป็นเมืองเดียวที่สถานีรถไฟไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง ถ้าใครท้อแท้ ก็ให้ต่อคิวรอรถบัสไปส่งในเมือง แต่ถ้าไหวและใจสู้ เค้ามีบันไดซิกแซกเดินกินลมแค่สิบห้านาทีก็จะถึงเซนเตอร์ เชื่อเลยว่า Coniglia ต้องเป็นเมืองที่ไอศครีมขายดีที่สุด เพราะทุกคนที่ผ่านการไต่เขาขึ้นมา จะหอบกันแฮ่กๆ จึงต้องการไอติมเย็นๆอย่างด่วน (ฉันสั่งรสโยเกิร์ตกับรสน้ำผึ้ง อร่อยเข้ากันมากกก)
คาแรคเตอร์ของเมืองนี้ จะต่างจากสองเมืองแรกตรงที่ไม่มีที่ๆให้ลงไปเล่นน้ำทะเลได้เลย ความน่าเดินจึงอยู่ที่บ้านสีสวยที่เบียดกันอยู่บนเนินหิน สลับกับโบสถ์ ร้านอาหารและร้านขายของ ในเมืองจึงมีเสน่ห์อย่างประหลาด
Manarola : ลงว่ายน้ำเย็นฉ่ำสดชื่น
เมืองที่สี่ Manarola จากเหงื่อที่สะสมมาตั้งแต่เมืองแรก ที่นี่จึงเป็นเมืองที่เราเลือกลงว่ายน้ำเย็นฉ่ำสดชื่น ถึงจะไม่มีทรายหาด แต่หาดผาหินก็มีไว้โดดน้ำได้สนุกไปอีกแบบ แถมคลื่นก็ซัดไม่แรง จึงไม่อันตรายลงเล่นได้
Riomaggiore : ภาพโปสการ์ดตัวแทน Cinque Terre
แล้วก็ถึงเมืองสุดท้าย Riomaggiore เป็นอีกเมืองที่เรามักเห็นมุมเด่นโดนเลือกมาให้เป็นภาพโปสการ์ดตัวแทน Cinque Terre และถ้าให้โหวต ฉันแอบให้ใจเมืองนี้มากหน่อย หรือเพราะฉันมาถึงตอนช่วงเย็นที่แดดไม่ร้อนมากและผู้คนบางตาลงแล้วก็เป็นได้
การได้นั่งบนหินริมทะเลดูคุณป้าตกปลา เป็นเรื่องที่เพลินเพลินใจเป็นหนักหนา ที่นี่มีร้านอาหารร้านขนมน่าทานหลายสิบร้าน จิบเอสเพรสโซ่เคล้าชีสเค้กรอดูพระอาทิตย์ตกดิน จึงเป็นสิ่งเหมาะที่จะครบจบทริป1วัน5เมืองจิ๋วแบบชิวๆ12ชั่วโมง แฮปปี้กลับบ้านฝันหวานหลับเป็นตาย เพราะเหนื่อยและปวดขาเหมือนไปเข้ายิมมา ฮ่าๆๆ
เรื่องและภาพโดย OHFUTON
RECOMMENDED CONTENT
ถือเป็นศิลปินที่กำลังมาแรงและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดอีกหนึ่งคน สำหรับศิลปินเดี่ยว “Morvasu” หรือ “มอร์ - วสุพล เกรียงประภากิจ” นักร้องนำวงดนตรีอินดี้อย่าง “Ten To Twelve” สังกัดค่ายเพลง What The Duck ที่กลับมาทำผลงานเพลงในโปรเจ็กต์เดี่ยวเป็นของตัวเองครั้งแรก