หากพูดถึงความต่ำตม วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก แก๊ง 4 เพื่อนซี้ในชื่อ P Rangers ที่โลกโซเชียลโดยเฉพาะทวิตเตอร์ขนานนามเรื่องความต่ำตม จนผุด hashtag สร้างสีสันในสังคมออนไลน์มาแล้ว อีกทั้งพวกเขาก็ยังกลายเป็นไอดอลของใครหลายๆ คน
หากได้ติดตามผลงานก็จะรู้จักตัวตนของทั้ง 4 คน ผ่านรายการที่จะเชิญแขกรับเชิญมาขึ้นรถและพูดคุย ซึ่งตอนนี้ได้ทำรายการใหม่ ปรับรูปแบบเป็น “Jailbreak รวบตัว…ทัวร์แหกกรง” ที่แม้ชื่ออาจยังไม่คุ้น แต่รับรองว่าสไตล์ไม่เหมือนใครนี้ทุกคนจะคุ้นกันอย่างแน่นอน และวันนี้ dooddot ก็มีโอกาสพาทุกคนมาสัมผัสบรรยากาศการสัมภาษณ์ที่เป็นกันเองของทั้ง 4 คน บอกเลยว่าทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยความฮา เพราะยิงมุกกันเรี่ยราดไม่แพ้ในรายการเลยทีเดียว
แนะนำสมาชิกและรายการใหม่ร่วมกับ LINE TV
เริ่มด้วยการแนะนำตัวของแต่ละคน พร้อมบอกที่มาของคำว่า ‘P Rangers’ ซึ่งมาจากตัว P ที่เป็นตัวอักษรขึ้นต้นชื่อของทั้ง 4 คนอย่าง โอ๊ต ปราโมทย์ / พลอย หอวัง / พิชญ์ กาไชย และสมาชิกคนล่าสุด เป๊ก เปรมณัช ด้วยความสนิทกันมานานของทุกคนเลยทำให้เกิดรายการ ‘Jailbreak’ ขึ้น
โอ๊ต : ผมว่าด้วยความบังเอิญ ก็เลยเอาชื่อพวกเรามาเชื่อมโยงกัน ถูกใช้เป็นชื่อบริษัท ใช้เป็นชื่อกรุ๊ปของเรา
พิชญ์ : P Rangers เป็นบริษัทที่เริ่มทำ content ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายการ หรือผ่านโฆษณาในทีวีรูปแบบใหม่ๆ เพราะเราก็อยู่ในพวกวงการ Entertainment มานานแล้ว ทั้งทำรายการ ละคร เลยรู้สึกว่าแต่ละคนก็สนุกทางด้านนี้ แต่ละคนก็มีหัวครีเอทีฟ แฟชั่น เราก็น่าจะหาอะไรทำสนุกๆ
พลอย : แต่ว่าเราเริ่มจาก LINE ที่แรกก่อน เพราะรู้สึกว่ามีอะไรน่าสนใจและเราสามารถทำ original content ได้กับทาง LINE TV ค่ะ พอเป็นที่นี่ก็รู้สึก special แล้ว เพราะเรารวมตัว 4 คนที่นี่ที่แรก และครีเอท content ให้เขาที่นี่ที่เดียว ไม่ได้ลงใน Facebook หรือ YouTube
เป๊ก : เราก็เหมือนเป็นผู้ถูกเลือกด้วย เพราะ LINE เองก็จะคัดสรรรายการ เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่อยู่ใน platform social อยู่แล้ว LINE เลยดึงมาทำ
โอ๊ต : อยู่กับ LINE TV ก็เท่ดี มันจะดู International (สำเนียงสไตล์โอ๊ต ปราโมทย์)
_____
ทำไมต้องเป็น Jailbreak ?
พลอย : concept ของรายการ Jailbreak เพราะเราอยากทำรายการที่ปลดล็อค attitude ของแต่ละคน โดยการที่เราอยากจะให้ดูธรรมชาติที่สุด มาคิดว่าเป็นอะไรดีที่ ปลดล็อคทุกคนได้
เป๊ก : อ่ะ! ถ้าพูดถึง Jailbreak จะนึกถึงอะไร มันคือแก้อีมี่ (IMEI) โทรศัพท์ ปรับอะไรสักอย่าง พอโยงเข้ามามันมีความเป็นกรุ๊ปถ้าขึ้นมาอยู่บนรถ ทุกคนที่ขึ้นมาก็เหมือนแก้อะไรบางอย่าง ปลดล็อคสิ่งที่ตัวเองไม่เคยพูด แล้วก็มาหลุดในรายการจริงๆ เพราะว่าความดีของโอ๊ตที่ขุดคุ้ยอะไรบางอย่างขึ้นมา ความสนิทของพวกเราทุกคนก็จะได้ความ Jailbreak นั้นขึ้นมา
พิชญ์ : โดยเราจะเชิญแขกรับเชิญเป็นกลุ่ม 4 คนมา แล้วจะพยายาม group up 4 คนให้สนิทกัน เหมือนที่เราทั้ง 4 คนสนิทกันแบบนี้ มาเจอกับพวกเราแล้วจะมี activity ต่างๆ เล่นเกม คือเป็นวาไรตี้มากในการมานั่งพูดคุยกันถึงงาน ชีวิต ได้ปลดล็อคเหมือน Jailbreak
Hightlight ธีมละ 3 ตอน แขกรับเชิญเป็นกลุ่ม
ซึ่งผู้ชมจะเห็นแขกรับเชิญ 1 กลุ่มในทุกๆ 3 ตอน อย่าง EP แรก ‘Carpool and Talk Show’ มาทำความรู้จักกันก่อน พอรู้จักแล้วก็เหมือนได้ปลดล็อค แขกรับเชิญก็ได้ละลายพฤติกรรม พอเข้า EP.2 ‘Challenge Games’ คือการเล่นเกม ทำให้แขกรับเชิญรู้สึก relax และเป็นตัวเองได้เต็มที่ และตอนสุดท้าย ‘Punishment session’ เป็นการลงโทษผู้แพ้จากตอนที่แล้ว และเหมือนจะเป็นโชว์ที่มีกิมมิคเล็กๆ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของรายการจะอยู่ตรงนี้ แต่มีความชัดเจนอยู่ทุกตอน ส่วนแขกรับเชิญจะเลือกคนที่ทั้ง 4 สนิทอยู่แล้ว โดยความมันยากจะอยู่ที่คิวของทั้ง 8 คน แล้วกลุ่มแขกรับเชิญต้องสนิทกันเอง และสนิทกับพิธีกรด้วย เพราะถ้าไม่สนิทก็จะไม่กล้าเล่นหรือแซวแรงๆ
ความสนุกที่เกิดขึ้นในรายการ Jailbreak
เพราะเป็นรายการที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง จึงทำให้ ‘Jailbreak’ สนุกและแตกต่างกว่าการอื่น ซึ่งความคิดเห็นของทั้ง 4 คนทำให้เราเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในรายการมาจากความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
โอ๊ต : คือเราดูรายการสัมภาษณ์แล้วรู้สึกเบื่อกับอะไรเดิมๆ ที่มานั่งคุยกัน ใส่สูท ผูกไท แล้วก็คุยอะไรทุกอย่างที่เป็นทางการ หรือโดนอยู่ในกรอบไว้ทั้งหมดเลย ซึ่งเราแค่อยากให้เหมือนมานั่งคุยกับเพื่อน คิดว่าจะได้อะไรมากกว่า
พลอย : ด้วยความที่เรานั่งกันอยู่ แล้วแขกรับเชิญมาแล้วรู้สึกสบาย พอรู้สึกสบายเขาอยากพูดอะไรเขาก็พูด เลยทำให้รายการจะแตกต่างคนอื่นนิดนึงตรงที่พอขึ้นมาแล้วไม่ได้มีกล้องที่เหมือนมารุม อันนี้เหมือนได้มาคุยกับเพื่อน มันก็สามารถหลุดอะไรออกมาได้
โอ๊ต : แล้วไม่มีสคริปต์ด้วย คืออยากรู้อะไรเราก็ถามในมุมที่เราไม่รู้ บางทีคุยอยู่แล้วเถียงกันเอง คนนั้นก็ด่าคนนี้ (หันไปทางพลอย) พอคนนี้มาขยี้เรื่องนั้น (มองไปทางพิชญ์) ขยี้แล้วไม่ยอมก็จะลากเพื่อนอีกคนเข้ามา ก็ด่ากันไปเรื่อย
เป๊ก : สุดท้าย พังกันทั้งหมู่บ้าน (หัวเราะ)
โอ๊ต : สุดท้ายบ้านไฟไหม้ (หัวเราะ)
พลอย : แล้วสุดท้ายกลับมาที่พิธีกร ก็จะโดนกันเอง พวกเราโดนอยู่แล้ว บางทีโดนมากกว่า
โอ๊ต : แล้วในแก๊งก็จะด่าว่า “ใช่ว่าเราไม่เคยทำ” (ทุกคนพูดพร้อมกัน “ก็ว่าไม่” แล้วหัวเราะ)
และด้วยรูปแบบที่ฟรีสไตล์ จึงทำให้หนึ่งในสมาชิก P Rangers อย่าง เป๊ก ต้องปรับตัวในช่วงแรกๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยทำแต่รายการจริงจังมาตลอด ทุกอย่างมีสคริปต์ พอต้องมาเป็นตัวของตัวเองมากๆ ก็เลยปรับตัวให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น
ความสนิทกันของแก๊ง P Rangers (เพื่อน VS ธุรกิจ)
ส่วนใหญ่เราจะเห็นความเป็นกันเอง และความสนิทของพวกเขาจากรายการอยู่แล้ว แต่หลักๆ เหล่าแฟนคลับจะติดตามได้จาก Facebook Live แฟนเพจ P Rangers หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งเห็นทุกคนสนิทกันแบบนี้ เมื่อถามว่าต้องมาทำธุรกิจร่วมกันจะมีผิดใจกันบ้างไหม?
โอ๊ต : การทำงานต่อให้เพื่อนหรือไม่ใช่เพื่อนก็ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว แต่ว่าเราเถียงกันแล้วมันจบแค่ตรงนั้น คือเถียงกันเพื่อสิ่งที่มันดีขึ้น ไม่ได้เถียงกันเพื่อเอาชนะ
พิชญ์ : มองว่าไม่น่ามีปัญหา ถ้าเราก็มีอุดมคติ มี Goal หรือเป้าหมายอันเดียวกัน แต่แค่วิธีการ ความชอบ อาจจะมองในหลายๆ ด้าน
พลอย : ต้องคุยกันเยอะๆ ถ้าไม่ได้คุยกันยังไงก็ทะเลาะกัน
เป๊ก : หรือถ้าสมมติในกรณีที่เอาเหตุผลมาคุยกัน เราก็มีเหตุผลของตัวเอง แต่ถ้าฟังของเพื่อนแล้วรู้สึกว่าก็โอเค ก็ตามนั้น และถ้าต้องเลือกจริงๆ ก็เลือกมิตรภาพมากกว่าธุรกิจอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าคบกันมานาน
โอ๊ต : แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินก็จะยอมไม่ได้ (เล่นมุก)
พิชญ์ : ใช่ เรื่องงานไม่เท่าไหร่ เราไม่ทะเลาะกันเรื่องงาน เราทะเลาะกันเรื่องเงิน (หัวเราะ)
จุดยืนของรายการ Jailbreak เทียบกับรูปแบบเดิม ความจัดจ้านลดลง?
พลอย : ด้วยการที่เราเปลี่ยนที่ การตัดต่อจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม การพูดการจาจริงๆ แล้วค่อนข้างเหมือนเดิมนะ ตอนที่พวกเราถ่ายก็สนุกกันมากเลยค่ะ แต่พลอยว่าเรื่องภาพอาจจะดูแข็งขึ้นมานิดนึง แต่ว่าสัญญาค่ะว่า EP ต่อๆ ไปมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ก็เหมือนตอนที่พลอยทำครั้งแรกก็ไม่ดีค่ะ มันค่อยๆ ดีขึ้น พลอยใช้เวลา 1 ปีกว่าถึงจะพีคมากๆ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็น EP แรกให้โอกาสพวกเราเถอะ (ยิ้ม)
โอ๊ต : อีกอย่างผมมองว่า ตอนที่ทำอันเก่าจุดโฟกัสมันน้อย ที่นี้พอคนเยอะขึ้น เฉลี่ยของการมองการฟังก็เยอะตาม ซึ่งก็ต้องแล้วแต่คนดูแล้วว่าจะชอบและดึงในสิ่งไหนมาเสพ ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากอันเก่า แค่ปริมาณคนเยอะขึ้น เรามีกิจกรรมสนุกๆ มากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วรายการวาไรตี้มีวันเริ่มและมีวันจบเสมอ ฉะนั้น ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเอง ก็ดูกันไปแบบยาวๆ ว่าจะสนุกมากขึ้นไหม
กระแสดี เป็นที่รู้จัก ต้องปรับตัวยังไง
เรียกได้ว่าแต่ละคนก็มีคาแรกเตอร์ที่ดึงใจแฟนคลับเข้ามาเพิ่มขึ้นจากความเป็นกันเองนี้ แน่นอนว่าพอเป็นที่รู้จักก็จะมีกระแสทั้งแง่บวกและแง่ลบ ซึ่งแต่ก็ยังคงไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง
พิชญ์ : เราไม่ได้ปรับให้ดีขึ้นหรือแย่ลง คือเราเป็นตัวเองอยู่แล้ว รายการสมัยก่อนที่เราทำกันก็มานั่งคุยกับเพื่อน แล้วมีกล้องกด record ไว้เฉยๆ ผมว่าทุกคนมีธรรมชาติในมุมตัวเองแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งเวลาแซวกัน เราก็ไม่เคยแซวคนอื่นให้แบบบ้านแตก แค่กึ่งๆ (หัวเราะ) ก็ไม่จำเป็นต้องปรับตัว ทำตัวเหมือนคนที่ดังขึ้น หรือคนตัวให้ต่ำลงเพื่อให้คนชอบมากขึ้น เราไม่ได้ทำแบบนั้น
เป๊ก : ก็พยายามเข้าใจสังคมทั่วไปนะ เพราะว่าผมบางทีอยู่คนละโลกกับพวกเขาเหมือนกัน (เสียงฮือฮาจากแก๊ง) แค่จะบอกว่ามีความแตกต่าง แต่ด้วยความสนิท (เสียงแซวจากพลอย) เราจึงพยายามคิดในลิมิตของกรอบที่ว่า พูดอะไรไม่ได้ขนาดนั้น แต่พอมาอยู่จุดนี้ เชื่อไหมว่าประมาณเทป 2 ผมก็เริ่มรู้สึกว่าพูด xxx ออกมาแล้ว
โอ๊ต : ด้วยความที่อยู่ในกรอบมาตลอดตั้งแต่เด็ก ไม่ได้พูดไรนอกจาก Hello Thank You (หัวเราะ)
_________
จากที่ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานกับแก๊ง P Rangers ก็เข้าใจความเป็นตัวเองของ 4 คนนี้มากๆ หลังจากนี้ทุกคนก็คงได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากพวกเขาอีก ก็ต้องรอติดตามกันต่อไป แต่ตอนนี้ดูรายการ Jailbreak รวบตัว…ทัวร์แหกกรง กันไปก่อนได้ทุกเที่ยงตรงวันศุกร์ ทาง LINE TV ที่เดียว
(Jailbreak: https://tv.line.me/v/1772242)
ชมคอนเทนต์ที่น่าสนใจได้ที่ LINE TV ดูฟรี ดาวน์โหลดฟรี
ระบบ iOS : https://itunes.apple.com/app/id806083596
ระบบแอนดรอยด์ : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.linecorp.linetv&hl=th
—
RECOMMENDED CONTENT
การ์มิน เปิดตัวแคมเปญ “FROM ZERO TO HERO” ปลุกสปิริตให้คนไทยในช่วงเวลาที่หมดไฟ ให้สามารถเดินหน้าพิชิตเป้าหมายก่อนปิดปี 64