จริงๆแล้วมันมีเหตุผลว่าทำไมพวกนิตยสารผู้หญิงมากมาย ชอบพาดหัวคอลัมน์บนหน้าปกตัวเองเช่น “5 ท่วงท่าเพื่อต้นแขนกระชับแบบ Michelle Obama” หรือ “เคล็ดลับสะโพกดินระเบิดแบบ Beyoncé” แต่ถ้าคุณเคยปรารถนาอยู่ลึกๆที่จะมีเอวคอดอย่างดาราสาวคนนี้ หรือเรียวขาสุดสลิมอย่างนักร้องสาวคนนั้น จงจำไว้เสมอว่า ค่านิยมของรูปร่างผู้หญิงที่เราเห็นอยู่เป็นประจำตามสื่อต่างๆนั้นมันไม่ได้คงที่หรอก ตำแน่ง “ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก” ที่นิตยสาร People ชอบจัดขึ้นทุกปีนั่นก็ไม่ได้ต่างกัน ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับค่านิยมของป๊อปคัลเจอร์ และยุคสมัยต่างๆ ที่ผันเปลี่ยนแปลงในทุกๆปี
เพื่อเป็นการพิสูจน์ เราจึงนำภาพทรวดทรงในอุดมคติของผู้หญิงในรอบ 100 ปีที่ผ่านมามาให้ชมกัน ซึ่งแสดงให้พวกเราเห็นได้ชัดว่า ในโลกของแฟชั่น วันนี้อะไรที่กำลังอินเทรนด์อาจจะได้รับความนิยม แต่พอวันถัดไปทุกอย่างสามารถกลายเป็นความเอาท์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
1910 ยุคกิ๊บสัน
เชิญพบกับ “it girl” แห่งยุคนี้กับ “สาวกิ๊บสัน” ที่มีชื่อเรียกมาจากนักวาดภาพประกอบชื่อดังแห่งยุค 1900s ตอนต้นอย่าง Charles Gibson ผู้เปรียบเสมือนเป็นช่างถ่ายภาพมือฉมังแห่งวงการแฟชั่นในสมัยนี้เลย รูปวาดผู้หญิงในอิริยาบถต่างๆของเขาตามหน้านิตยสาร LIFE, Collier’s และ Harper’s ต่างทำให้ผู้หญิงทุกคนในสมัยนั้นหลงใหล และปรารถนาอยากจะมีรูปทรงองค์เอวแบบนั้นๆกันเป็นแถว ค่านิยมในรูปร่างของผู้หญิงในยุคนี้จะมีรูปร่างคล้ายเลข 8 เนื่องมาจากเทรนด์การใส่ชุดคอร์เซ็ทให้เอวกิ่ว (อย่าพยายามลองใส่ที่บ้านนะ!) สาวๆในยุคนี้จริงๆแล้วไม่สวยเท่าไหร่ แต่ดูลึกลับ น่าค้นหา สง่าผ่าเผย และค่อนข้างสูง โดยต้นแบบดั้งเดิมของสาวกิ๊บสันก็คือ Camille Clifford นักแสดง และนางแบบชื่อดังแห่งยุคนั่นเอง
1920 ยุคแฟลปเปอร์
บอกลาทรวดทรงโค้งเว้า ความสูงสง่า ทรงผมม้วนลอนฟูฟ่อง และความโก้ หรูทั้งหมดจากยุคก่อน และ say hello กับสาวๆแฟลปเปอร์ (flapper) ที่ทรวดทรงองค์เอวนั้นต่างจากสาวกิ๊บสันโดยสิ้นเชิง เพราะพวกเธอมีหน้าอกเล็ก สะโพกเล็ก ก้นเล็ก ทุกอย่างเล็ก เอาเป็นว่าหุ่นของพวกเธอนั้นค่อนข้างแบนเป็นไม้กระดานเลยล่ะ ชุดกระโปรงในยุคนี้ส่วนใหญ่จะขยับช่วงเอวต่ำลงมาจากสะดือลงมาประมาณ 2-3 นิ้ว ทำให้สะโพกดูแคบลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าสาวๆยุคนี้จะไม่มีเสน่ห์ทางเพศเสียเลยนะ เพราะจุดสนใจเปลี่ยนมาเป็นช่วงขาแทน เนื่องจากความยาวของกระโปรงที่สาวๆยุคนี้นิยมใส่จะอยู่ตรงช่วงเข่า ทำให้พวกเธอสามารถอวดเรียวขาได้แบบกำลังพอดี ส่วนผู้หญิงในอุดมคติของยุคแฟลปเปอร์ก็คือ Margaret Gorman มิสอเมริกาคนแรกประจำปี 1921 ที่มีความสูงแค่ 155 เซนติเมตร และน้ำหนักเพียง 49 กิโลกรัม
1930 ยุคซอฟท์ไซเรน
เมื่อตลาดหุ้นแตก จิตใจทิ้งดิ่งลงเหว ปลายกระโปรงของยุคนี้ก็เช่นเดียวกัน ชุดกระโปรงของสาวๆสมัยนั้นจะมีความยาว ทิ้งตัวลงมาถึงปลายเท้า และมีความโค้งเว้าไปตามสรีระมากขึ้น โดยจะเน้นช่วงเอวที่คอดแบบธรรมชาติ แถมคราวนี้มีการเปิดไหล่ให้เห็นกันด้วย ส่วนเทรนด์หน้าอกที่แบนราบในยุค 1920s ก็หมดไป แล้วแทนที่ด้วยขนาดหน้าอกที่กำลังพอดี อาจเป็นเพราะยุคนี้เริ่มมีการวัดขนาดหน้าอกของผู้หญิงก็เป็นได้ ทำให้มีการผลิตยกทรงขึ้นในยุคนี้ด้วย ส่วนสื่อต่างๆในยุคนี้ก็ต่างน้อมรับเทรนด์รูปร่างของผู้หญิงแบบดังกล่าว โดยมีนักแสดงหญิง Doroles del Rio ที่ถูกยกตำแหน่งให้เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างดีที่สุดในฮอลลีวู้ด ซึ่งนิตยสารในสมัยนั้นมีการเขียนชมถึงความกลมกลึงในรูปร่างของเธอ ส่วน Jean Harlow นักแสดงสาวที่มีรูปร่างแบบที่นิยมกันในยุคนั้น ก็ถูกยกให้เป็น “sex symbol” แห่งยุค ’30
1940 ยุคสาวดาวประกาย
สาวๆยุคนี้ขอเซย์กู๊ดบายกับลุคผู้หญิงจัดๆจากยุค ‘30 เพราะเนื่องจากสมัยนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี เลยทำให้ลุคไหล่กว้าง บึกบึน แบบชายชาตรีกลายเป็นเทรนด์ที่ฮอตฮิต รวมถึงรูปทรงเสื้อผ้าที่มีมุม มีเหลี่ยม ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นยกทรงที่มีโครงเหลี่ยม ดูเป็นกรวย จนมีการตั้งชื่อว่า Bullet (กระสุน) และ Torpedo (ขีปนาวุธติดวัตถุระเบิดที่ยิงจากเรือดำน้ำ) ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีการส่งผลมาถึงค่านิยมในรูปร่างของสาวๆยุคนี้เช่นกัน ที่มีความสูงโปร่ง และโครงสร้างใหญ่ขึ้น ซึ่งได้สะท้อนภาพบทบาทการใช้แรงงานของผู้หญิงมากขึ้น ในขณะที่ผู้ชายต้องออกไปรบ สรุปแล้วผู้หญิงยุคนี้จะดูแมนขึ้น ไม่อ่อนช้อย อ้อนแอ้น เหมือนผู้หญิงจากยุคก่อนๆหน้า
1950 ยุคนาฬิกาทราย
ขอต้อนรับสู่ยุคนาฬิกาทราย หลังจากที่ความเหลี่ยมมุมในทรวดทรงของผู้หญิงในยุคสงครามผ่านพ้นไปแล้วเมื่อยุคก่อน มายุคนี้ความเย้ายวน กลมกลึง และบึบบับได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง แม้แต่โฆษณาในยุคนี้ยังมีการแนะนำให้สาวร่างผอมบางทั้งหลาย หันไปเพิ่มน้ำหนักเพื่อเน้นสัดส่วนโค้งเว้าของตัวเอง นิตยสาร Playboy และตุ๊กตา Barbie ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมในทรวดทรงเอวเล็ก แต่หน้าอกโต แบบนาฬิกาทรายของรูปร่างผู้หญิงในสมัยนั้นเป็นอย่างดี ส่วนรูปแบบของเสื้อผ้า อย่างคอเว้าเป็นรูปหัวใจทรง sweetheart เน้นเนินอก และกระโปรงที่โป่งพองช่วงสะโพกลงไปก็ฮอตมากๆในยุคนี้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงในอุดมคติของยุคนี้ก็เห็นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก Elizabeth Taylor และ Marilyn Monroe!
1960 ยุค Twig
รูปร่างผอมบางกลับมาอินเทรนด์ใหม่อีกครั้ง ในขณะที่สัดส่วนแบบผู้หญิงบึบบับก็ถือว่าเอาท์ไป แล้วแทนที่ด้วยลุคเด็กผู้หญิงบอบบาง และสัดส่วนเหมือนเด็กผู้ชาย นางแบบอย่าง Twiggy กับ Jean Shrimpton (ที่มีฉายาว่า “The Shrimp” หรือกุ้งแห้ง) คือต้นแบบของผู้หญิงยุคนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าสวยบ้องแบ๊วราวกับตุ๊กตา รูปร่างผอมเพรียวลม และตัวที่เล็กกะทัดรัด ส่วนเสื้อผ้าในยุคนี้จะเน้นไปที่เดรสทรงสอบตัวจิ๋ว ที่จะไม่มีการเข้ารูป โดยเฉพาะช่วงเอว เพราะการมีสะโพกกับก้นเล็กๆ รวมถึงมีหน้าท้องที่แบนราบแบบไม้กระดานถือว่าฮอตที่สุดแล้ว (คุ้นๆใช่มั้ย? คล้ายๆกับตอนเปลี่ยนจากยุคกิ๊บสันมาเป็นแฟลปเปอร์) ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผู้หญิงยุคนี้ก็พลอยนิยมลดความอ้วนกันไปด้วย (เฮ้อ…เดี๋ยวก็ต้องคอยเพิ่มน้ำหนัก ลดน้ำหนัก เกิดมาเป็นผู้หญิงนี่ลำบากจริงจริ๊ง!)
1970 ยุคดิสโก้ดีว่า
ดิสโก้! ชุดจัมป์สูท! กางเกงขากระดิ่ง! ทศวรรษนี้คือยุคแห่งการปาร์ตี้อย่างแท้จริง แต่สาวๆในยุคนี้ก็ยังคงต้องถูกกดดันให้มีเอวบาง และหน้าท้องแบนราบ เพื่อให้สามารถใส่เสื้อผ้าแนวเต้นดิสโก้ได้อย่างจัดเต็มและมั่นใจ ผ้าใยสังเคราะห์อย่างโพลีเอสเตอร์กับสแปนเด็กซ์เริ่มได้รับความนิยม ทั้งๆที่ความสวยงามและความสวยสง่าอาจเทียบไม่ได้กับเสื้อผ้าจากยุคก่อน ค่านิยมในรูปร่างของผู้หญิงยุคนี้ โดยรวมแล้วมีความสูงโปร่ง ผอมเพรียว แต่ดูมีกล้ามเนื้อมากกว่ายุคก่อนหน้า แต่ก็ดูเหมือนว่าส่วนเว้าส่วนโค้งก็เริ่มที่จะกลับมาเช่นกัน นอกจากนี้ Beverly Johnson กลายเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้ขึ้นหน้าปก Vogue ซึ่งเชื่อมโยงมาจากความเคลื่อนไหวในการสนับสนุนคนผิวสีจากยุค ‘60s ในขณะที่ Darnella Thomas ก็ได้ปรากฏอยู่ในโฆษณาน้ำหอม Charlie ที่โด่งดังมากในยุคนั้น ส่วนผู้หญิงในอุดมคติของยุคนี้ก็จะเป็นใครไปเสียอีกถ้าไม่ใช่ Farrah Fawcett
1980 ยุคซูเปอร์โมเดล
ยุคนี้เรียกได้ว่าต้องหลีกทางให้เหล่าซูเปอร์โมเดลก้านยาว เพราะผู้หญิงสูงโปร่ง ขายาว กลายเป็นผู้หญิงในอุดมคติของยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น Elle MacPherson, Naomi Campbell และ Linda Evangelista ต่างก็เป็นตัวแม่ของนางแบบสาวยุคนั้นที่เจิดจรัสบนรันเวย์ จนโด่งดังมาอยู่ในกระแสป๊อปคัลเจอร์ ไม่ว่าจะเปิดดูมิวสิควิดีโอ หรือสื่ออะไรก็ตาม เป็นต้องเห็นพวกเธอปรากฏตัวอยู่ตลอด นอกจากนี้ยุค 1980 ยังเป็นยุคแห่งการออกกำลังกายด้วย ซึ่งต้องขอบคุณผู้บุกเบิกอย่างนักแสดงสาว Jane Fonda ที่เป็นกูรูในเรื่องออกกำลังกายของสาวๆในยุคนั้น อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่การมีกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นอะไรที่ดูมีเสน่ห์ และเซ็กซี่สำหรับผู้หญิง
1990 ยุคผอมแห้ง
พอมาถึงยุคนี้ วงการนางแบบต้องหลีกทางให้กับ Kate Moss นางแบบสาวชาวอังกฤษผู้มีรูปร่างผอมแห้ง และมีส่วนสูงแค่ 170 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเตี้ยสำหรับวงการนางแบบทั่วไป แต่ลุคแบบ Moss ที่ดูไม่ค่อยจะแข็งแรง หรือที่นักวิจารณ์ปากร้ายๆหน่อยเรียกว่า “ลุคติดยา” นี้แหละ ที่กลับกลายเป็นลุคยอดนิยมของผู้หญิงยุค ‘90s ซึ่งช่างแตกต่างราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับค่านิยมจากยุค ‘80s ส่วนเสื้อผ้าที่เป็นที่นิยมในยุคนี้ ก็คือเสื้อผ้าแนวกรั้นจ์ๆเซอร์ๆ อย่างกางเกงยีนส์เอวต่ำ เสื้อถักหลุดลุ่ย และน้ำหอมที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิง แม้แต่วงการฮอลลีวู้ดก็ยังอินกับลุคดังกล่าว โดยมีนักแสดงสาวร่างเล็กอย่าง Winona Ryder เป็นผู้นำ ซึ่ง Ben Stiller นักแสดงที่เคยร่วมงานกับเธอถึงกับเคยอุทานมาแล้วว่า “ตัวของเธอเล็กมาก อย่างกับตุ๊กตาที่วางบนโต๊ะกาแฟเลย!”
2000 ยุคสวยแบบแข็งแรง
สุดยอดนางแบบ Giselle Bündchen ถือเป็นผู้นำที่เอาความเซ็กซี่แบบแข็งแรง มีน้ำมีนวล กลับมาเป็นค่านิยมของผู้หญิงยุค 2000 อีกครั้ง พวกลุคผอมแห้ง ดูติดยา แบบผู้หญิงยุค ‘90s ถือว่าเชยสนิท เพราะมายุคนี้การเปิดเผยหน้าท้องที่ดูแข็งแรง และการพ่นผิวสีแทนเป็นอะไรที่ฮอตมากๆ นอกจากนี้ Bündchen ยังได้รับตำแหน่งผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกจากนิตยสาร Rolling Stone แถมยังเป็นนางแบบที่ครองทุกรันเวย์ โฆษณา แฟชั่นโชว์ชุดชั้นในของ Victoria Secret รวมถึงพรมแดงในอ้อมแขนของพระเอกขวัญใจสาวๆอย่าง Leonardo DiCaprio ด้วย ส่วนดาราสาวแต่ละคนในวงการฮอลลีวู้ดก็ต่างอยากได้ลุคแบบสาว Giselle กันเป็นแถว ในขณะที่ Britney Spears นักร้องสาวขวัญใจมหาชนในตอนนั้น ก็ถือว่าเป็นศิลปินที่มีหุ่นฮอตมากที่สุดเช่นกัน
2010 ยุคสะโพกดินระเบิด
ค่านิยมของผู้หญิงยุคปัจจุบันจะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจากการมีสะโพกดินระเบิดอย่างศิลปินสาว Beyoncé, Nicki Minaj และ J.Lo ที่ดูเหมือนจะภูมิใจในบั้นท้ายอันอวบอัดของพวกเธอเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะสาว Nicki Minaj และ J.Lo ที่ยังมีเพลงเกี่ยวกับบั้นท้ายของพวกเธอโดยเฉพาะ อย่างเพลง “Anaconda” และ “Booty” อ้อ! แล้วอีกคนที่พวกเราจะลืมไปไม่ได้ก็คือ Kim Kardashian ที่ไม่ว่าคุณจะเปิดนิตยสาร เฟสบุ๊ค หรือสื่ออะไรก็ตามแต่ ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่เห็นรูปหรือข่าวที่เกี่ยวกับรูปร่างของเธอ โดยเฉพาะบั้นท้ายดินระเบิดสุดอื้อฉาวนั่น
เห็นหรือยังว่ารูปร่างในอุดมคติ หรือค่านิยมต่างๆเกี่ยวกับรูปร่างผู้หญิงนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากทุกสิ่งอย่างในป๊อปคัลเจอร์ เพราะมันเป็นเทรนด์นั่นเอง เดี๋ยวนี้ผู้หญิงทุกคนต่างต้องการมีดวงตาสีฟ้าแบบสาวผิวขาว ริมฝีปากอวบอิ่มแบบสาวชาวสเปน จมูกโด่งทรงหยดน้ำ ผิวแทนเรียบเนียนปราศจากขน ก้นเด้งแบบสาวจาไมก้า ขาเรียวยาวแบบสาวสวีเดน เท้าเล็กแบบสาวญี่ปุ่น หน้าท้องแบนราบแบบเจ้าของโรงยิม และหน้าอกสวยสมส่วน แต่แทนที่คุณจะไล่ไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ คุณควรภูมิใจในสิ่งที่แม่ให้มา และจำไว้เสมอว่าความสวยที่สื่อต่างๆพยายามยัดเยียดพวกเรานั้น เป็นอะไรที่นามธรรมมากๆและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่ความมั่นใจต่างหาก ที่จะอยู่ติดตัวกับเราตลอดไป
Credit: Greatist
RECOMMENDED CONTENT
เบื้อหลัง The Fast and the Furious: Tokyo Drift ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2006 กำกับโดย Justin Lin เป็นหนึ่งภาคที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้ถึง 5,300 ล้านบาท