เมื่อเราพูดกันถึงงานโฆษณาบนโลกของอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันมีสื่อหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย หรือการเข้ามามีบทบาทสำคัญของ application หรือ Social Network ต่างๆ วันนี้เรามีโอกาสที่ดีมากๆที่จะได้พูดคุยกับ คุณป้อม ศิวัตร เชาวรียวงษ์ CEO, M Interaction พี่ใหญ่แห่งวงการโฆษณาดิจิตอล ถึงเรื่องการทำงานในสายโฆษณา และบทบาทของสังคมที่มีต่อโลกแห่งอินเตอร์เน็ต ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ที่ทุกคนให้ความสำคัญเหลือเกินกับการมีบทบาทของสังคม online ที่เปลี่ยนการใช้ชีวิตของเราๆอย่างสิ้นเชิง รวมถึงแนวความคิดของนักบริหารที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของวงการโฆษณาบ้านเรา
ตอนนี้ในส่วนงานที่คุณป้อมรับผิดชอบอยู่มีอะไรบ้าง ?
ตอนนี้ทำบริษัทโฆษณาชื่อว่า M Interaction เป็นดิจิตอลเอเจนซี่ทำงานโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ปัจจุบันเราดูแลลูกค้าอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของแบรนด์ต่างๆที่มีอยู่ในประเทศไทย บริษัทเราก็เป็น 1 ในสาขาของบริษัทในกรุ๊ปของ WPP ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทโฆษณาอันดับ 1 ของโลก นอกจากนั้นผมเองก็ทำงานในสมาคมโฆษณาดิจิตอลแห่งประเทศไทย เป็นนายกสมาคม ที่มีสมาชิกบริษัทโฆษณาดิจิตอลเอเจนซี่อยู่ 25 บริษัท โจทย์ของเราก็คือทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาดิจิตอล ในประเทศไทยโตขึ้น
ตอนนี้คนที่เสพสื่อดิจิตอล มีจำนวนต่างกันมากไหม เมื่อเทียบกับจำนวนคนทั่วประเทศ ?
มีความต่างกันมากพอสมควรทีเดียว อย่างถ้าพูดถึงคนเล่นอินเตอร์เน็ตในรุ่นแรกๆ ในที่นี้หมายถึงคนที่ใช้เป็นครั้งแรกผ่านทางคอมพิวเตอร์และใช้อินเตอร์เน็ตผ่านทางอุปกรณ์มือถือเป็นทางที่ 2 กลุ่มนี้จะเล่นได้เยอะหน่อยใช้งานค่อนข้างเป็นเกือบจะทุกอย่าง ส่วนกลุ่มที่ 2 คือคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านทางมือถือเลย ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น และหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ ไม่รู้ว่าการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตคืออะไร กลไกการทำงานของมันคืออะไร เพราะเขาซื้อโทรศัพท์มาก็เล่น Line เปิด YouTube แล้แค่นั้น คน 2 กลุ่มนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง ความรู้ความเข้าใจก็ต่างกัน และการใช้งานก็ต่างกัน
คุณป้อมคิดว่าอะไรที่ทำให้อินเตอร์เน็ตเข้าไปมีบทบาทกับคนกลุ่มหลังได้มากขึ้น ?
ต้องบอกว่าตอนนี้คนไทยเกินครึ่งคุ้นเคยกับอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้คนไทยที่เหลือมาใช้อินเตอร์เน็ต ก็คงเป็นเรื่อง “ค่าเครื่องที่ถูกลง” อย่างเมื่อก่อนถ้าจะใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือ ราคาเครื่องต้องหลักหมื่นขึ้นไป อย่างพวก iPhone หรือ Samsung Galaxy ในเวลาต่อมาโทรศัพท์เหล่านี้ก็มีราคาที่ถูกลง ราคาก็ลงมาเหลือ 4 – 5 พันบาท แต่ปัจจุบันราคาที่หาได้ถูกที่สุด 900 บาท ซึ่งนี่ก็คือพื้นที่ของคนกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยใช้อินเตอร์เน็ตมาก่อนมา ถามว่าการเติบโตเป็นอย่างไรก็ต้องบอกว่าสมาร์ทโฟนที่ราคา 900 ถึง 2,000 บาท นี่นับวันก็จะกระจายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เมื่อก่อนใช้โทรศัพท์แบบฟีเจอร์โฟน ก็คือเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ถ้าเขาจะเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นรุ่นใหม่เครื่องต่อไป เค้าก็จะเปลี่ยนเป็น Smartphone ราคาถูก ด้วยเหตุผลที่ไม่ยากเลยคือ เล่น Line ได้ เล่น Facebook ได้ เอาไว้คุยกับเพื่อนเท่านั้นเอง
นั่นแปลว่าการเติบโตของการใช้งานอินเตอร์เน็ตก็อยู่ที่แพลตฟอร์มใช่ไหม ?
ถูกต้องเพราะถ้าเราพูดถึง device เราก็จะพูดถึงค่าเครื่องที่ถูกลงหรือถ้าเราพูดถึงค่าบริการ data ในเมืองไทยก็ยังถือว่าสูงอยู่ แต่ถ้าเราพูดถึงถ้าค่าบริการ data ถือว่าถูกลง ว่ากันตามตรงก่อนที่จะมี Line คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตน้อยกว่านี้ เพราะว่ามันใช้ยากเกินไป แล้วถ้าถามว่าก่อนมี Line อะไรที่จะเรียกว่าใช้ง่ายและเบสิค? เบสิคก็คือ Email และ Facebook แต่พวกนี้ที่ดูว่าเบสิคมากแล้วสำหรับคนใช้อินเตอร์เน็ต แต่จริงๆก็คือยากอยู่เพราะ Email เป็นภาษาอังกฤษ คนไทยที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษก็ตกรอบ Facebook ก่อนจะมี Facebook User ได้ก็ต้องมี Email ก่อน ก็ตกรอบอยู่ดี แต่ Line ไม่ต้องมีอะไรเลย มีโทรศัพท์มีเบอร์แล้วก็คนที่ช่วยลงโปรแกรมก็เล่นได้เลย หลังจากนั้นการที่เราจะไปแอดเพื่อนใน Line ทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนภาษาไทย ไม่ต้องมีความรู้ใดๆทั้งสิ้น
นั่นแปลว่าการทำงานของคนทำโฆษณาบนอินเตอร์เน็ตต้องหมุนรอบแพลตฟอร์ม ?
แน่นอน… ถ้าแพลตฟอร์มไหนที่คนใช้เยอะ นักการตลาดก็จะวิ่งเข้าหาสิ่งนั้น ยกตัวอย่างที่ชัดเจนว่าของไทยเนี่ยเรามีการพูดถึงกันมากว่า “เฮ้ย ! ทำสติ๊กเกอร์ไลน์เนี่ย 1 ชุดว่าทำกันเป็น 7 ล้านบาท – 10 ล้านบาท” หรือที่เราแซวๆ กันว่าภาครัฐทำแพงกว่านั้นอีก แต่ว่าถ้ามองในมุมของนักโฆษณา โอเคเงินเยอะจริง แต่ประการที่ 1 คือเราเข้าถึงกลุ่มคนในทุกกลุ่ม คือคนทุกกลุ่มใช้งานเป็น ทั้ง Line และสติ๊กเกอร์ แต่ก่อนหน้านี้ในยุคของ Facebook นักการตลาดก็พยายามสร้าง Facebook pages และก็คอยปั้มเรื่องของ Fan page ให้สูงขึ้นๆ แต่ถามว่าจำนวนแฟนที่พยายามทำกันตอนนี้ก็ไม่ได้เท่าไหร่ เต็มที่ก็ 2 ล้านคน – 4 ล้านคน แต่ในขณะที่เอาเงินมาลงกับ Line ตอนนี้กดปุ่มเดียวได้เลย 5 ล้าน, 8 ล้าน หรือ 12 ล้าน มันต่างกันเยอะ! เพราะผู้ใช้มันไม่เท่ากัน
นอกจากนั้นนักการตลาดก็ต้องปรับตัวตามโอกาสที่มี อย่างเรื่องวิดีโอแต่ก่อนอินเตอร์เน็ตช้า วิดีโอก็เลยไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่อยู่มาวันหนึ่งอินเตอร์เน็ตเร็วขึ้นทั้งในคอมพิวเตอร์และในมือถือ ถามว่าเร็วแค่ไหน? เร็วพอที่จะดูวิดีโอได้โดยไม่สะดุด นั่นแปลว่าเราสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยอยู่ในทีวีมาลงในนี้ได้ ซึ่งมันพิสูจน์มาแล้วว่า “คนไทยชอบทีวี!” ซึ่งต่างกันกับประเทศตะวันตก อย่างเช่นยุโรปหรือสวีเดน ถ้าเราไม่นับอินเตอร์เน็ต สื่อที่มีพาวเวอร์มากกว่าทีวีก็คือหนังสือพิมพ์ อย่างตลาดในไทย คนของเราชอบทีวี ชอบโชว์ ชอบละคร ชอบดราม่า งานการตลาดก็เลยไหลไปทางนั้น
เป็นไปได้ไหมที่จะมีแพลตฟอร์มที่ประสบความสำเร็จเริ่มมาจากประเทศที่กำลังพัฒนา ? มันจะมีแรงผลักดันที่มากพอไหม ?
การ Success ในระดับ global มันไม่ได้สำคัญว่าคนทำอยู่ที่ไหน? หรือเราก็จะพูดได้ว่าใครๆก็สามารถทำได้! เช่น เรามีแอปพลิเคชั่นหลายหลายตัวที่คนทำก็ไม่ได้อยู่ในอเมริกา แต่ถูกผลิตจากประเทศอย่าง ลิทัวเนีย, โรมาเนีย และจากหลายๆประเทศ เพราะฉะนั้นคนอยู่ในประเทศไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือวิธีการคิดว่าตอนที่ออกแบบต้องคิดเผื่อที่ขายคนทั้งโลก ในอดีตถ้าถอยไปซัก 6 – 7 ปี คนไทยเราไม่เคยคิดแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรืออะไรก็ตาม คือก็เริ่มจากสิ่งที่เป็นไปได้และเราถนัด ก็คือการขายคนไทยด้วยภาษาไทย ก็เลยไม่มีแพลตฟอร์มไหนที่เกิดขึ้นแล้วดังใน local และสามารถมุ่งต่อไปตลาด global ที่คุยคุยกันก็คือถ้าใครจะไป global คุณก็จะต้องเริ่มจาก global เลย เอาง่ายๆว่า เริ่มแรกคุณก็ต้องเริ่มจากภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาไทย คือถ้าเป็นสมัยก่อนใครทำอันแรกเขาก็เริ่มจากภาษาไทยกันทั้งนั้น เช่น เว็บ “วงใน” เขาสำเร็จถึงขีดสุดในตลาดท้องถิ่น ถามว่าถ้าเค้าจะเบนไปตลาดอื่นๆเค้าจะทำได้ไหม? เค้าก็น่าจะทำได้แต่ก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งที่ Success ในไทยเมื่อขยายออกไปที่อื่นจะ Success ไหม? หรือมันยังทันกินอยู่หรือเปล่า? เพราะว่าในประเทศอื่นก็มีคนที่ทำไปแล้ว อย่างเว็บจากอเมริกาหรือแพลตฟอร์มที่ประสบความสำเร็จจากที่โน่น ตอนต้นมันก็ไม่ได้คิดถึง global เช่น Facebook แต่บังเอิญข้อได้เปรียบเสียเปรียบมันคือภาษา ที่เค้าตั้งใจทำให้คนที่นั่น แต่ถ้าคนอีกซีกโลกหนึ่ง ไปเห็นคนก็สามารถใช้เป็น! เพราะเขาใช้ภาษาอังกฤษ แต่ถ้าในเมืองไทยเราทำภาษาของเราและหวังว่าจะ Success ในตลาดโลก คนเมืองนอกเข้ามาเห็นเค้าอ่านไม่ออกเขาก็ไม่สนใจ
10 ปีที่ผ่านมา การทำการตลาดบนโลกดิจิตอล มีกี่ยุคสมัย และเปลี่ยนไปอย่างไร ?
ผมแบ่งเป็น 2 ยุคแล้วกัน ยุคแรกคือปี 2005 ถึงปี 2010 ยุคนี้ค่อนข้างจำกัดมากๆ เพราะว่า 3G เราก็ยังไม่มี และ Facebook ก็ยังไม่ได้แพร่หลาย ส่วน Line ตอนนั้นยังไม่เกิด ในรูปแบบของโฆษณาตอนนั้นก็จะเน้นไปที่เว็บไซต์ในลักษณะของแบนเนอร์ หรือ Search Marketing เพราะโซเชียลมีเดียยังไม่มีพลัง และรูปแบบโฆษณาตอนนั้นก็ยังไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นตอนนั้นมันก็ไปอยู่ที่ Paid Media ก็คือการจ่ายเงินซื้อโฆษณา แล้วก็จะเป็นลักษณะการจ่ายเงินเพื่อดึงทราฟฟิกไปอยู่ที่เว็บไซต์ของตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะกระจุกตัวอยู่ในประเภทสินค้าที่เป็น High Involvement ก็คือสินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจซื้อ เช่น บ้าน รถยนตร์ ส่วน Consumer goods ยังไม่มีเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ไป!
ส่นยุคที่สอง ช่วงปี 2010 ถึง 2013 ถ้าเทียบกับมนุษย์ เราเรียกว่าอาจจะเป็นช่วงเด็กเริ่มวิ่งก็ได้ เพราะเริ่มเห็นการเติบโต นักการตลาดในสินค้าบางกลุ่มที่ไม่เคยใช้ก็เริ่มเข้ามาใช้ คนในวงการมีความรู้มากขึ้น เม็ดเงินโฆษณาเริ่มโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ในระหว่างทางมีคนใช้ Smart Phone มากขึ้นเรื่อยๆ โซเชียลมีเดียเริ่มมีอิทธิพลสูง Facebook User จาก 2 ล้านคน มาเป็น 10 ล้านคน งานโฆษณาที่ไปยังโซเชียลมีเดียก็มีความหลากหลาย เริ่มมีคนคุยเรื่องสินค้าใน pantip.com เยอะขึ้น สินค้าที่ขายในออนไลน์เริ่มมีมากขึ้น มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น บทบาทของอินเตอร์เน็ตมีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรต้องมีปริมาณการ Search ที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน Google ก็ตั้งสำนักงานในประเทศไทยเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและการโฆษณา ไม่ใช่แค่แบรนด์หรือบริษัทใหญ่ ใหญ่แต่ก็มีภาพที่บริษัท SME พวกนี้ก็เริ่มตื่นตัวเรื่องมาทำการตลาดกับ Google หรือ Facebook advertising มากขึ้น
มาถึงยุคหลังคือช่วง 2 ปีหลังจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน อินเตอร์เน็ตใช้งานเร็วขึ้นถึงขนาดที่ว่าดูวิดีโอแล้วไม่ต้องรอ ก็ทำให้เกิดมีพฤติกรรมใหม่ๆ เป็นช่วงที่เบ่งบานเต็มที! มี Mobile Application ที่ใช้งานได้ง่ายๆ อย่างเช่น Line ก็เกิดกลุ่ม new user ที่ใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆเพิ่มขึ้นมากมาย Line ก็มีพาวเวอร์ YouTube ก็มีพาวเวอร์ Search Marketing ก็ยังอยู่และในช่วง 2 ปีหลัง สิ่งที่ทำให้บทบาทของอินเตอร์เน็ตเปลี่ยนไปอย่างมากมายก็คือจำนวนสินค้าที่มีขายบนอินเตอร์เน็ตมีมากขึ้นหลายเท่าตัว จนเราเกือบที่จัดอยู่ในจุดที่ว่าทุกอย่างมีขายในอินเตอร์เน็ต ผมเปรียบเทียบง่ายๆว่าคนเริ่มหันมาใช้ Google เพราะว่าหาอะไรก็เจอ! และปัจจุบันไม่ว่าจะเอาอะไรก็ตามไป Search ก็จะเจอใครสักคน ที่ขายอยู่บนอินเตอร์เน็ต นี่คือบทบาทที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จุดที่ยากสุดในการทำงานโฆษณาคืออะไร ?
จริงๆทุกๆเรื่องมันมีความท้าทายในหลายๆแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการติดตามเทคโนโลยีหรืออะไร แต่ตอนนี้ที่เราคุยกันก็คือจะทำอย่างไรให้คนรู้สึกอยากที่จะมาทำงานออฟฟิศ! และการทำงานออฟฟิศในสายโฆษณาด้วย ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่เทรน! ผมคุยกับเด็กนิเทศ 40 คน มีคนอยากทำงานออฟฟิศจริงๆแค่ 2 ถึง 3 คนเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร มันคือเทคโนโลยีที่เรามีรูปแบบแพลตฟอร์มที่มันทำให้เราเป็นผู้ประกอบการได้ง่าย ข้อจำกัดเรื่องเงินทุน ข้อจำกัดเรื่องสถานที่หายไป ใครที่มีความกล้าอยากเป็นผู้ประกอบการก็ทำได้ ไม่ใช่แค่การเป็นพ่อค้าแม่ค้า แต่มันมีอาชีพอิสระที่ทุกคนทำได้ คนก็ลองกันเยอะ ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่าที่อยากจะลองก็มี คนที่อยู่ในการทำงานประจำแบบ Full time ก็จะน้อยลง ซึ่งเรื่องนี้เรามองว่าเป็นเรื่องที่นายจ้างต้องปรับตัว เพราะว่าลูกจ้างไม่เปลี่ยนแล้ว! มันไม่มีหรอกที่ลูกจ้างทุกคนบอกว่า “เฮ้ย! เรากลับมาทำงานออฟฟิศเถอะ” ในขณะที่คนเห็นความเป็นไปได้อยู่ด้านหน้า และเราอยู่ในเอเชียซึ่งเป็นภูมิภาคที่กำลังเติบโต คนบ้านเราพื้นฐานก็มาจากค้าขาย กลับมาที่นายจ้างเราเองก็ต้องปรับตัวให้มันมีความน่าทำงานมากขึ้น เสน่ห์ของงานประจำมันก็มีอยู่คือการได้พัฒนาทักษะและความรู้ กับคนที่กระโดดไปทำเองเลยก็ต้องไปเรียนเอง
คุณป้อมมีวิธีการทำให้ออฟฟิศน่าทำงานได้อย่างไร ?
อันแรกคือที่ทำงานต้องเป็นที่ที่น่าอยู่ แล้วที่ที่น่าอยู่… แปลว่าอะไร? คือต้องทำให้คนรักที่จะมาทำงาน ที่ที่น่าอยู่คือต้องสามารถมีทางเลือกในการนั่งทำงาน เดินไปเดินมา มีสถานที่ๆสบาย ไม่ทรมาน ไม่มีฝุ่น ไม่มีความอึดอัด เป็นสิ่งที่เห็นแล้วสัมผัสได้ว่าอันนี้คือสิ่งที่ดีน่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ แต่หลายอย่างก็เป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ด้วยตนเองในทันที แต่เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ได้ออกแบบไว้ดีพอก็จะส่งผลเสีย เช่น ฝุ่น ไม่มีฝุ่นเลยมันดีอยู่แล้ว มีฝุ่นมากมันก็รู้สึกได้เลย แต่มีฝุ่นกลางๆ ทำยังไงให้อยู่สบาย นั่นคือความยาก เก้าอี้หรือความสูงของโต๊ะ หรือ แสงสว่าง มันตอบไม่ได้หรอกว่าแสงส่องสว่างดีไม่ดี จนกว่าจะคนที่จะนั่งไปสักพักแล้วรู้สึกขึ้นมา
คุณภาพแสงสว่างที่ดีสำหรับคุณป้อมคืออะไร ?
คือไม่ต้องเพ่ง มันจะไม่มีความสงสัยในใจประมาณว่า “นี่เราต้องเพ่งนะถึงจะดูรู้เรื่อง” สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่พนักงานจะต้องมาบอกเอง มันคือเรื่องที่บริษัทจะต้องสนับสนุน และจ้างผู้เชี่ยวชาญมาบอกว่าสิ่งนี้โอเคหรือไม่โอเค ดีกับสุขภาพหรือไม่
มุมโปรดในออฟฟิศ ?
ผมชอบตรงโถงเพราะมันโล่งโปร่ง จริงๆแล้วผมว่าพนักงานทุกคนแหละ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหรือผู้บริหาร เราจะมีโหมดที่อยู่ในสเปซของเรา ไม่ว่าจะเป็นห้องหรือโต๊ะทำงาน แต่ว่ามันจะเป็นที่ปิด ผมคิดว่าการทำงานด้วยพลังสมาธิก็สำคัญ แต่มันก็จะมีบางโหมดที่เราต้องการความโปร่ง ที่ทำให้ความคิดเราโปร่งไปด้วย ซึ่งโดยหลักการ คนเราบางครั้งก็ต้องการความโปร่งโล่งอยู่แล้ว เพื่อให้ได้ความคิดที่ดี
คุณป้อมทำงานเยอะแบบนี้มีเวลาใช้เวลาเอ็นจอยกับพื้นที่ที่บ้านบ้างไหม?
คือจริงๆอยู่บ้านเนี่ยเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ผมก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน แต่ประเด็นคือการที่เราอยู่ที่บ้าน คุณภาพของมันมีมากน้อยแค่ไหน? ต้องอยู่แล้วสบาย อยู่แล้วไม่อึดอัด อย่างผมเนี่ย ก็เหมือนคนทำงานหลายหลายคนที่ทำงานในวงการโฆษณา เราอาจจะไม่ได้มีเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นเราต้องการคุณภาพที่สูงในการอยู่บ้าน อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
อีกอย่างตอนนี้ผมมีความเข้าใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ทำงานเยอะมากจนไม่ได้ดูแลสุขภาพ แต่ตอนนี้ด้วยความที่เรามีอายุมากขึ้น เราจึงมีความเข้าใจในเรื่องทางร่างกายและสมอง สุขภาพที่ดีกับสมองที่ดี ร่างกายที่ดีกับความฉับไวในการคิดการตัดสินใจก็มีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน คือถ้าพูดในแง่ของการบริหาร เราเข้าใจแล้วว่าต้องนอนให้พอ ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ทำให้จะมีความคิดและการตัดสินใจในการทำงานที่ดีมากกว่าที่จะสมองตื้อๆอัดๆ ซึ่งเราก็พยายามที่จะสะท้อนแนวความคิดนี้ให้กับพนักงานด้วย ตอนนี้ก็จะมีทีมงานที่คิดได้แล้ว ก็จะมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีทีมงานที่ยังทำงานมากไปอยู่ และก็มีกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาก็ดูแลตัวเองกันอย่างดี ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ
หลังจากนี้ 5 ปี 10 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไงบ้าง ?
ตอนนี้เรากำลังจะออกจากโลกที่มันเป็นคอนเทนท์แล้วฝังอยู่ในสื่อ ไปยังโลกที่อุปกรณ์แต่ละตัวมีข้อมูลและ Data ที่อุปกรณ์ที่มีความเก่งและข้อมูลนิดๆหน่อยๆฝังอยู่ในอุปกรณ์ทุกชนิด แล้วมันก็จะฉลาดขึ้น ทุกสิ่งจะโยน Data เล็กๆไปมา เพื่อให้หลายหลายอุปกรณ์ทำงานเข้ากับเรามากขึ้น และยังพัฒนาไปได้อย่างมากมายมหาศาล อย่างเช่นตอนนี้มี Home automation ที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกัน คือสามารถเปิดแอร์ได้ก่อนที่เราจะถึงบ้าน ปรับอุณหภูมิตามความชอบของคนๆนั้น หรือคุณสามารถเปิด – ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต แล้วอุปกรณ์แต่ละตัวถูกตั้งให้เปิด – ปิดได้หลายรูปแบบ ซึ่งมันจะไม่ใช่การที่คนมานั่งใส่ข้อมูลว่าฉันชอบแบบไหน แต่มันจะเป็นการที่เครื่อง automation เหล่านี้อ่านค่าจากข้อมูลในหลายๆฝ่ายเพื่อมาปรับ ให้เข้ากับความชอบของคนนั้นๆ
อย่างตอนนี้มี “Dynalite application” อันนี้ก็จะช่วยได้เยอะเหมือนกัน เพราะบางครั้งต้องเดินทางไปต่างประเทศ แล้วเราจะแน่ใจได้ไงว่าที่บ้านปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าแล้วทุกอย่าง ซึ่งเราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ผ่าน application นี้ได้ แต่ถ้ามองในชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นสิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทกับเราในอนาคต แล้วมันจะช่วยให้คุณภาพชีวิตเราดียิ่งขึ้น
สิ่งที่ทำให้พื้นที่นั้นทำงานได้ดียิ่งขึ้นและก่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ คือแสงสว่าง งั้นเรามาทำความรู้จักกับหลอดไฟ LED Bulbs กันดีกว่า
คำว่า LED มาจากอะไร?
LED ย่อมาจากคำว่า Light Emitting Diode หรือเป็นภาษาไทย ก็คือสิ่งประดิษฐ์ชนิดหนึ่ง ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสงสว่างได้
ข้อดีของหลอดไฟ Philips LED Bulbs
1. แสงที่ได้จะเป็นแสงที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าหลอดทั่วไป ทำให้บรรยากาศในบ้านน่าอยู่ยิ่งขึ้น
2. หลอดไฟ LED กินไฟน้อยกว่าถึง 85% (เมื่อเทียบกับหลอดไส้ 40 วัตต์) ซึ่งถ้าหากคุณเปลี่ยนทั้งบ้าน จะทำให้คุณประหยัดค่าไฟได้เยอะขึ้น
3. ไม่มีแสง UV มาทำร้ายผิวหนัง และดวงตาของเรา ซึ่งถ้ามองเผินๆอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้ามองไปในรายละเอียดแล้ว หลอดไฟ LED จะไม่ทำให้ดวงตาของคุณเสื่อมก่อนที่ควรจะเป็น แน่นอนว่าทำให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพของคุณดียิ่งขึ้น
4. ที่สำคัญคุณเปลี่ยนหลอดครั้งเดียวสามารถใช้ได้นานถึง 15,000 ชม. – จ่ายทีเดียวคุ้ม!
เห็นไหมว่าหลอดไฟ Philips LED Bulbs ดีขนาดไหน อย่างที่บอกไปว่าประหยัดไฟกว่าหลอดชนิดอื่นๆ ลองคิดดูว่าถ้าคุณเปลี่ยนทั้งบ้านจะช่วยประหยัดไฟต่อเดือน ต่อปี มากมายขนาดไหน แถมเปลี่ยนครั้งเดียวใช้งานได้ยาวอีกด้วย เห็นอย่างนี้แล้วจะมีเหตุผลอะไรอีกไหมที่ทำให้คุณไม่เลือกใช้
สามารถหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
Philips
Website: http://www.philips.co.th/
Facebook: https://www.facebook.com/PhilipsLightingThailand
RECOMMENDED CONTENT
ประเดิมโปรเจกต์ “PUBG MOBILE x 4EVE ที่ #1 ในใจฟีฟเลย!” ด้วยการปล่อยซิงเกิลคอลแลปสุดพิเศษ JACKPOT เพลงจังหวะเร้าใจ ผสมบีทที่หนักแน่น มาพร้อมท่อนฮุคติดหู “ไม่คิดว่าจะได้เจอ คนน่ารักอย่างเธอ JACKPOT! ยิงเข้ามาที่ใจ BABY YOU’RE MY TYPE JACKPOT!” ให้สาวก For Aye และแฟนๆ ได้ฟังกันไปเมื่อ 14 กันยายนที่ผ่านมา และได้กระแสตอบรับแรงเกินต้าน โดยคอเกม PUBG MOBILE สามารถปลุกความมัน ฟังเพลงกันเพลินๆ ได้ที่ Lobby Music ภายในเกม