fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

7 แบรนด์รองเท้า sneakers ที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดประจำปี 2015
date : 7.เมษายน.2015 tag :

รองเท้าสนีกเกอร์นั้นมีความสำคัญในวัฒนธรรมของคนเมือง (urban culture) ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสตรีทอาร์ต หรือดนตรี ตั้งแต่ยุค ’70s และ’ 80s รองเท้าสนีกเกอร์ได้พิสูจน์ให้พวกเราเห็นว่ามันคือสิ่งที่สะท้อนถึงตัวตน และการแสดงออกของวัยรุ่น และคนหนุ่มสาวได้ดีที่สุดรูปแบบหนึ่งเลย ไม่เชื่อลองไปถามเหล่าสุภาพบุรุษที่มีสไตล์จัดจ้านแต่ละคนสิ ว่ามีเสื้อผ้า หรือไอเท็มแฟชั่นอะไรบ้างที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดในการแต่งตัวของพวกเขาในแต่ละวัน พนันได้เลยว่าเกือบร้อยทั้งร้อยต้องตอบว่า “รองเท้า”

วันนี้เราเลยรวบรวม 7 แบรนด์รองเท้าสนีกเกอร์ที่คาดว่าจะต้องมาแรงประจำปี 2015 มาให้เหล่าคนรักรองเท้าสนีกเกอร์ได้มาอัพเดทกันสนุกๆ ถึงแม้ว่าชื่ออย่าง adidas และ Nike จะต้องผุดขึ้นมาในหัวของทุกคนแน่ๆ แต่สำหรับลิสต์นี้เราขอเน้นไปที่แบรนด์ขนาดเล็กแทน เพราะใช่ว่าจะมีแต่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกเท่านั้นที่กำลังมี movement ที่น่าสนใจ ว่าแล้วพวกเราไปดูกันเลยดีกว่า ว่าปี 2015 นี้ มีแบรนด์รองเท้าสนีกเกอร์แบรนด์ไหนบ้างที่พวกเราควรจับตามองไว้ให้ดี

null

1. adidas

เวลานี้ต้องยกให้กับแบรนด์สามแถบเขาล่ะ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้ารุ่นใหม่เอย รุ่นคลาสสิคที่นำกลับมาดีไซน์ใหม่เอย หรือจะพวกรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น จากการ collaboration ต่างๆเอย adidas ได้พิสูจน์ให้พวกเราเห็นว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่พวกเราต้องจับตามองมากที่สุดในปีนี้ ไหนจะรองเท้ารุ่น Yeezy 750 Boosts จากการจับมือกันกับศิลปินระดับโลก Kanye West ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ และขายหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่นาที หรือจะอีก collaboration นับไม่ถ้วนกับ Pharrell Wiilliams, Neighbourhood และ Raf Simons ที่ต่างก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แล้วนี่ยังไม่นับพวกรุ่นคลาสสิค ที่ทางแบรนด์ได้นำกลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกหลายต่อหลายรุ่น อาทิรุ่น  Tubular, Stan Smith ที่ทำให้ร้องเท้าสนีกเกอร์สีขาวล้วนเป็นอะไรที่ฮอตสุดๆ หรือจะรุ่นคลาสสิคตลอดกาลอย่าง Superstar ที่ก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่ปีนี้เหล่า sneakerheads จะปันใจไปให้กับแบรนด์สามแถบนี้ มากกว่าแบรนด์สัญลักษณ์ตัว swoosh

null

2. Filling Pieces

แบรนด์สนีกเกอร์จากเมืองอัมสเตอร์ดัมแบรนด์นี้อาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยในบ้านเรามากนัก แต่ว่ากันว่า Filling Pieces คือหนึ่งในแบรนด์สนีกเกอร์ระดับหรูที่พวกเราควรจับตามองมากที่สุดประจำปีนี้ ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดยดีไซเนอร์ Guillaume Philibert จุดเด่นของแบรนด์นี้ก็คือการเชื่อมความเป็นสตรีทแวร์เข้าด้วยกันกับความเป็นไฮแฟชั่น ในราคาที่วัยรุ่น และคนรักสนีกเกอร์ทั้งหลายยังสามารถเอื้อมถึง นอกจากนี้รองเท้าทุกรุ่นของ Filling Pieces เป็นแฮนด์เม้ดสั่งตัดจากประเทศโปรตุเกส โดยใช้วัสดุระดับพรีเมียมที่สั่งตรงจากประเทศอิตาลี ทำให้แบรนด์นี้นำกลิ่นอายความเป็น European ที่แตกต่างมาสู่วงการสนีกเกอร์ได้อย่างน่าตื่นเต้น

null

3. Common Projects

Common Projects คือแบรนด์สนีกเกอร์จากนิวยอร์กที่ได้สร้างชื่อให้แก่ตัวเองอย่างรวดเร็วในฐานะผู้ผลิตสนีกเกอร์ระดับหรู ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 โดยมีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่ความเป็นมินิมอล และคัตติ้งสุดเนี้ยบ และด้วยรองเท้ารุ่น BBall Low ที่ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ จนหลายๆคนยกให้เป็นหนึ่งในรองเท้าสนีกเกอร์ที่โดนใจมากที่สุดเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงรุ่น Achilles Low ที่เป็นรุ่นที่โด่งดังมากที่สุดของแบรนด์ ปี 2015 นี้ ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่โดดเด่นสำหรับ Common Projects ได้ไม่ยาก ต้องคอยจับตาดูให้ดี

null

4. ETQ Amsterdam

อีกหนึ่งแบรนด์สนีกเกอร์จากฮอลแลนด์ กับ ETQ ที่มีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น และดั่งเช่นแบรนด์สนีกเกอร์บางแบรนด์ที่อยู่ในลิสต์นี้ ETQ จะเน้นไปที่ดีไซน์ที่เข้าถึงได้แบบไฮสตรีท แต่การตัดเย็บและขั้นตอนการผลิตนั้นถือว่าอยู่ในระดับเกรดชั้นดี ถ้าจะพูดถึงเรื่องคอนเซ็ปต์ หรือเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ ก็ถือว่ามีความคล้ายคลึงกับแบรนด์ Common Projects แต่ที่ต่างกันคือราคาของ ETQ จะเป็นมิตรมากกว่าค่อนข้างเยอะ ถึงแม้ว่าคอลเล็คชั่นของ ETQ กำลังค่อยๆเติบโต และเริ่มที่จะมีพวกรองเท้าสีพาสเทล และพวกเทกเจอร์สไตล์แปลกๆให้เห็นมากขึ้น แต่เอกลักษณ์ที่ ETQ ไม่เคยทิ้งก็คือเส้นคัตติ้งที่ดูคลีน มินิมอล และโทนสีโมโนโครม ETQ จึงถือเป็นสนีกเกอร์ที่สามารถใส่กับเสื้อผ้าอะไรก็ได้

null

5. Buscemi

Buscemi คือแบรนด์สนีกเกอร์ high-end สุดหรูของดีไซเนอร์ Jon Buscemi ที่เห็นแล้วบอกเลยว่าถ้าไม่มั่นจริงนี่คงใส่ไม่ได้ ด้วยดีไซน์ที่ยูนีคไม่เหมือนใคร Buscemi คือรองเท้าสนีกเกอร์ที่มีการผสมผสานระหว่างโครงรองเท้าสตรีทแวร์คลาสสิค เข้ากับวัสดุและการตัดเย็บระดับพรีเมียมลักชัวรี่ อย่างเช่นตัวฮาร์ดแวร์สีทอง และสี rose gold เป็นต้น สำหรับ Buscemi ถ้าเงินในกระเป๋าคุณไม่หนักพอจริง ถือว่าหมดสิทธิซื้อ เพราะดั่งเช่นแบรนด์กระเป๋าสุดหรูระดับโลกอย่าง Hermès รองเท้าทุกรุ่นของ Buscemi มีราคาที่สูงลิ่ว (รองเท้าแบรนด์นี้ราคาเริ่มต้นที่ $740 USD หรือประมาณ  24,000 บาท เท่านั้นเอ๊ง!) และล้วนแต่เป็นแบบแฮนด์เม้ด สั่งทำจากประเทศอิตาลีทั้งสิ้น นอกจากนี้แต่ละรุ่นก็ยังเป็นแบบลิมิเต็ค เอดิชั่นสุดๆ ถ้าอยากได้ต้องมีการสั่งจองล่วงหน้าอย่างเดียว

null

6. article n°

ถือเป็นแบรนด์สนีกเกอร์น้องใหม่แกะกล่อง ที่บรรดา sneakerheads ควรจับตามองไว้ให้ดี กับ article n° (article number) แบรนด์สนีกเกอร์จากลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ Liberty Fairs งานแฟชั่นเทรดโชว์สำหรับผู้ชายที่อเมริกาเมื่อปีที่แล้ว ด้วยการผสมผสานระหว่างองค์ประกอบของสนีกเกอร์สไตล์  old-school เข้าด้วยกันกับความเป็นไฮแฟชั่นล้ำๆ แบรนด์ article n° ได้เติมกลิ่นอายความเปรี้ยว edgy ให้กับสนีกเกอร์สไตล์โมโนโครม มินิมอล ดั้งเดิมได้อย่างน่าสนใจ จุดเด่นของรองเท้าสนีกเกอร์จาก article n° ที่หลายคนพูดถึงก็คือการใช้วัสดุยางนีโอพรีน (neoprene) ควบคู่กับหนังลูกวัวสุดคลาสสิคได้อย่างลงตัว ทำให้รองเท้าจากแบรนด์นี้มีกลิ่นอายความเป็นมินิมอลคล้ายๆแบรนด์อย่าง Common Projects แต่ก็สัมผัสได้ถึงความหรูหรา และนอกกรอบอย่างแบรนด์ Buscemi เช่นกัน

null

7. GREATS

จากมันสมองของ John Buscemi และ Ryan Babenzien แบรนด์รองเท้าสนีกเกอร์จากบรู๊คลิน นิวยอร์ก แบรนด์นี้ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ผสมผสานความเป็นรองเท้าสตรีทแวร์ เข้ากับการตัดเย็บระดับพรีเมียมแบบไฮแฟชั่นในราคาที่ย่อมเยาแตะถึงได้ ด้วยสโลแกนที่ว่า “the best, for the most, for the least” ปี 2015 นี้ถือเป็นปีที่ทางแบรนด์จะก้าวเข้าสู่ปีที่สาม ซึ่งปีนี้น่าจะเป็นปีที่ GREATS มีผลงานโดดเด่นมาให้พวกเราได้ชมกัน ด้วยการแต่งตั้งให้ดีไซเนอร์เลือดใหม่ มาแรงอย่าง Salehe Bembury (ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยดูแลแบรนด์ Cole Haan) มานำทีมออกแบบ มั่นใจได้เลยว่าปีนี้พวกเราจะต้องพบกับการเปิดตัวคอลเล็คชั่นใหม่ๆของ GREATS บนบล็อกสตรีทแวร์มากมายแน่นอน

Credit: Fashionbeans , Hypebeast

RECOMMENDED CONTENT

14.ธันวาคม.2020

‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ  ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย