fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#Travel : เสาร์อาทิตย์มานั่งรถไฟเที่ยวกันเถอะ! ทริปหลบหนีความวุ่นวายในกรุงเทพด้วยเส้นทางคลาสสิคขบวน 909 กรุงเทพ-กาญจนบุรี “ทางรถไฟสายมรณะ”
date : 11.เมษายน.2015 tag :

หน้าร้อนเมืองไทยปีนี้หนักหนาเอาการ อยู่กรุงเทพเบื่ออากาศทะลุปรอทแบบนี้กันบ้างไหม? สำหรับใครที่อยากพักร้อนแบบมินิๆ ไปเช้าเย็นกลับ ระหว่างวันเสาร์หรืออาทิตย์ บางทีการเอาตัวเองออกไปชมอะไรต่างจังหวัดก็ดีเหมือนกันนะ “อ้าว แต่จะเที่ยวยังไงล่ะ ก็เราไม่มีรถขับนี่” ไม่เป็นไรเลย วันนี้ Dooddot เราจะพาทุกคนไปเดินทางเที่ยวทริปแบบคลาสสิคสไตล์คนไทยที่มีมานานตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จีบกัน กับทริปรถไฟสายท่องเที่ยว กรุงเทพ-กาญจนบุรี “ทางรถไฟสายมรณะ” พร้อมทั้งเก็บภาพและเรื่องเล่ามาฝากกัน จะเป็นอย่างไรลองไปตามชมกันเลยดีกว่า!

ขั้นตอนแรกหลังจากศึกษาแล้วค้นพบว่าเส้นทางท่องเที่ยวนี้ เป็นของรถไฟสาย 909 กรุงเทพ-กาญจนบุรี ที่จะพาเราเดินทางยาวจากรุงเทพสถานีหัวลำโพง ออกทิศตะวันตกไปจนถึงสุดสายที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อย เสร็จแล้วจัดการเลือกซื้อตั๋ว ราคาตั๋วอยู่ที่ 240 บาทสำหรับผู้ใหญ่ (ถูกมาก!) ตามที่ตั๋วบอกไว้ว่าเวลาขึ้นรถคือตอนเช้าตรู่ 6.30 น. สำหรับใครที่อกหักอยากเที่ยวแบบปุบปับ ตื่นเช้ามาก็สามารถนั่ง MRT ไปขึ้นที่หัวลำโพง แล้วซื้อตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ลุยได้เลย ของเราซื้อก่อนวันที่ไป ตื่นเช้ามาก็เดินทางมาขึ้นรถที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ระหว่างเดินเล่นถ่ายรูปรอรถไฟออกก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในหัวลำโพงช่วงเช้ามืด ยังคงความคลาสสิคเหมือนกับที่เราเคยนั่ง มีรถไฟสายจากต่างจังหวัดเดินทางเข้ามาจอดในชานชาลากรุงเทพ ผู้คนขนของลงเดินกันขวักไขว่ทั้งไทยและต่างชาติ ส่วนขบวนที่เตรียมออกก็มีญาติพี่น้องมาส่งกัน เป็นภาพที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก แต่เอ้ะ เดินเล่นเพลินไปหน่อย เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น! เห้ยนั่นมันรถเราแล้วนี่ ไปด้วยๆ รีบวิ่งขึ้นรถทันพอดี

null

null

ขบวนรถเที่ยวรถไฟสายน้ำตก 909 กรุงเทพ-กาญจนบุรี-น้ำตกไทรโยคน้อย

null

บรรยากาศภายในสถานีหัวลำโพงยามเช้า

null

เสร็จแล้วขบวนของเราก็ค่อยๆเคลื่อนตัว เดินทางออกจากสถานีหัวลำโพง ในตอนแรกรถยังไม่แน่นมาก เพราะผู้ร่วมทริปของเราก็จะทยอยกันมาขึ้นรถไฟสายนี้เรื่อยๆตามสถานีหลักในกรุงเทพต่างๆ ทั้งชุมทางบางซื่อ ไล่ไปเรื่อยจนถึงชานเมืองแถบศาลายา จนเวลาได้ประมาณ เกือบๆ 9.30 – 10.30 น. รถไฟขบวนของเราก็เดินทางมาถึงที่สถานีนครปฐม ซึ่งเป็นสถานีหลักแห่งแรกที่จะจอดตามกำหนดการ โชคดีที่วันที่เราไป พอรถไฟเทียบท่าปึ้บ เณรน้อยของวัดพระปฐมเจดีย์ก็ออกมาเดินบิณฑบาตรยิ้มแย้มกัน มองออกไปตรงๆปลายถนน เป็นองค์พระปฐมเจดีย์ ที่เดินไปไม่กี่อึดใจจากสถานี ส่วนหนึ่งคนก็แวะกินข้าวแกงกัน มีร้านค้ามาขายมากมายตามอารมณ์ตลาดยามเช้า เติมพลังกายเสร็จ ก็เติมพลังใจ ไหว้พระขอพรกันหน่อย เสร็จแล้วก็รีบกลับมาทันรถออก มุ่งหน้าไปสู่อีกเป้าหมายของเรา

null

เณรจากวัดพระปฐมเจดีย์ที่ออกมาบิณฑบาตรในยามเช้า

null

ไหว้พระขอพรที่องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม

ทุกๆครั้งที่ได้นั่งรถไฟผ่านทางรถไฟสายตะวันตก ได้มองวิวสองข้างทาง มันเป็นทางรถไฟที่นั่งแล้วรู้สึกสงบสบายตา เพราะเส้นทางนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวิวของต้นไม้สีเขียวสลับกับทุ่งกว้าง เมื่อออกจากตัวจังหวัดราชบุรีก็จะเริ่มมีภูเขาหินปูนลูกขาวอยู่ไกลๆ สำหรับราชบุรีหรือบ้านโป่งขบวนเราจะไม่ได้จอดเพราะมุ่งหน้าสู่เมืองกาญจน์โดยตรงเลย เดินทางถึงสะพานแม่น้ำแควประมาณ 13.00 น. ตรงนี้ทริปจะปล่อยให้เราลงไปเพลิดเพลินกับความสวยงามของสะพานแม่น้ำแควแบบจุใจ เดินเล่นได้ปลายสองฝั่งสะพาน เพราะรถคันที่เรานั่งนี่ล่ะ จะค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านสะพานไปเลย ที่จุดจอดตรงนี้ จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ดักรออยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีอยู่แล้ว ติดรถไปเที่ยวสายสะพานมรณะที่เป็นไฮไลท์ของเราด้วย ทำให้บรรยากาศภายในโบกี้ ตั้งแต่ออกจากสะพานแม่น้ำแควเป็นต้นไป เริ่มเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์คึกคักเหมือนทัวร์ท่องเที่ยวมากขึ้น

null

สะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี

null

ระหว่างทางสวนผ่านกับรถไฟขบวนอื่น

null

บรรยากาศภายในรถไฟมีเจ้าหน้าที่ไกด์นำเที่ยว

null

null

null

จุดหมายต่อไปของเราคือสถานีถ้ำกระแซ ที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมเช่นกัน มีสถานพักผ่อนมากมาย หนึ่งในนั้นที่หลายคนชอบมาถ่ายรูปกันคืออุโมงค์ต้นไม้สีเขียวชะอุ่ม แต่จากปากไกด์ของรถไฟบอกกับเราว่า ทุกวันนี้อากาศร้อนและแปรปรวน ทำให้อุโมงค์ต้นไม้ลดหายลงไปเรื่อยๆ จนตอนนี้แทบมองไม่เห็นเลย น่าเสียดายมากๆ อ่ะ โอเค ไม่เป็นไร ผ่านถ้ำกระแซมา และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของทริปนี้ ประมาณ 14.00 น. เมื่อรถไฟได้เคลื่อนขบวนมาถึงสะพานไม้เก่าแก่สร้างจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเชลยศึกทหารอเมริกัน ตรงนี้ล่ะที่เรียกความคึกคักของนักท่องเที่ยวทั้งโบกี้ได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากวิวจะสวยงามแล้ว เราเองตอนมองลงไปที่รางรถไฟยังรู้สึกหวาดเสียวมากๆ แหม่ สะพานเก่าขนาดนี้ยังวิ่งไหวได้อีก ปรบมือให้กับความสามารถของวิศวกรทหารเหล่านี้เลยจริงๆ ลัดเลาะริมหน้าผาไปเรื่อยๆอยู่พักใหญ่ สำหรับคนที่นั่งฝั่งซ้ายของขบวนก็จะมีวิวทิวทัศน์เป็นหน้าผาล้วนๆ ใครที่ชอบแนวนั้นก็ชิดแนวนั้นไป ส่วนฝั่งขวาของโบกี้ที่คนมายืนออกัน จะได้เห็นวิวแม่น้ำกว้าง ขึ้นสลับกับป่าสวยงาม ชอบแบบไหนก็เลือกฝั่งที่นั่งกันให้ดีนะ เราลองเก็บภาพมาฝากให้ดูกัน

null

ขณะนั่งรถข้ามสะพานมรณะ ที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

null

วิวข้างทางได้เห็นแม่น้ำขนาดใหญ่และป่าเขียว

null

ผ่านสะพานมรณะมา มองเห็นหน้าทุกคนในโบกี้รู้เลยว่าฟินกับช่วงเวลานี้มากๆ ไม่รู้ว่าบางคนเคยมีความหลังมาเที่ยวที่นี่รึเปล่า ไกด์ก็บอกว่าไม่ต้องเสียใจไป ถ้าใครพลาดโอกาสถ่ายรูป ขากลับเราได้มาแก้ตัวที่สะพานนี้กันอีกที มาถึงจุดหมายปลายทาง สถานีสุดท้ายของเส้นทางนี้ นั่นคือสถานีน้ำตกไทรโยคน้อย ที่พารถไฟของพวกเราเข้ามาในป่าเขียวลึก ในมุมคนต่างชาติที่เดินทางมาเรารู้สึกได้เลยว่าพวกเขารู้สึก Amazing พอสมควร ที่รถไฟเดินทางเข้ามาส่งถึงฐานของน้ำตกเลยขนาดนี้ แต่จากการสอบถามเจ้าหน้าที่บนรถไฟก็ต้องเป็นแล้วแต่หัวขบวนด้วยนะ ถ้าในบางโอกาสหัวขบวนกำลังวิ่งไม่พอ ก็ไม่สามารถวิ่งเข้ามาตรงสถานีนี้ได้ ต้องต่อรถกัน เพราะฉะนั้นของเราคราวนี้ถือว่าโชคดี 🙂

มาถึงที่น้ำตกไทรโยคน้อยที่เวลา 15.00 น. อากาศกำลังสบายพอดีๆแดดไม่แรง เขาให้เวลาเราเดินเล่นในบริเวณน้ำตกตามอัธยาศัย ตรงนี้ไม่ว่าจะคนไทยหรือคนต่างชาติก็แฮปปี้กับน้ำตกกันทุกคน ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนที่เราก็ยอมรับกันตรงๆว่าน้ำในน้ำตกไม่ได้ไหลฟู่ฟ่าเหมือนในภาพถ่ายที่เราเคยเห็นในหนังสือ แต่แค่ได้เอาตัวออกมาจากในเมืองกรุงเทพ มาพักฟื้นลึกในป่าสีเขียวหลบจากทุกความวุ่นวายแบบนี้ มีน้ำให้เล่นเย็นสบายเท้า เห็นคนถ่ายรูปกัน เราว่าเป็นการใช้เวลาวันหยุดที่มีค่ามากๆ เสร็จแล้วก็ถึงเวลาต้องโบกมือลาให้กับไทรโยคน้อย นั่งรถกลับไปที่สะพานแม่น้ำแควแล้วเตรียมตัวตีเข้ากรุงเทพกัน

null

null

null

น้ำตกไทรโยคน้อยที่เป็นปลายทางของทริปนี้ ปล่อยให้เดินน้ำเล่นกันตามอัธยาศัย

null

null

เส้นทางขากลับ ก็คือการนั่งย้อนผ่านเส้นทางที่เรานั่งขาไปเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเปลี่ยนภาพวิวข้างทางเป็นสีส้มย้อมด้วยพระอาทิตย์ตกดินกำลังโพล้เพล้ เราว่าตรงนี้ช่วยให้นั่งคิดอะไรได้ไกล เหมือนเตรียมความพร้อมเซตอัพตัวเองก่อนกลับเข้าสู่โหมดชีวิตเมืองหลวงอีกครั้ง เราเดินทางกลับมาถึงที่กรุงเทพในเวลา 19.30 – 20.00 น นับว่าเป็นการทำเวลาได้อย่างดีของรถไฟ เหมือนกับว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นมา ที่รถไฟมีการพัฒนาในหลายๆส่วน การทำเวลาและความสะอาดของรถไฟ ดูจะเห็นผลเยอะขึ้นอย่างมาก ลงจากรถไฟมาเหยียบที่สถานีหัวลำโพงอีกครั้ง นึกย้อนภาพที่เราได้เห็นมาทั้งวันนี้ เทียบกับมูลค่าตั๋วที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่าจริงๆ

สำหรับใครที่ทำงานหนักอยู่ในเมืองกรุงเทพ คิดว่าอยากพาตัวเองไปพักผ่อน แต่จะขับรถก็ไม่สะดวก หรือคิดว่าไปนอนค้างคืนก็ไม่ไหว เราแนะนำทริปไปเช้าเย็นกลับของรถไฟไทยแบบนี้ เลือกวันได้ระหว่างเสาร์อาทิตย์ ถ้าเป็นทริปสะพานรถไฟสายมรณะ จะมีเป็นประจำทุกๆอาทิตย์ บางทีการเที่ยวที่เก่าแก่คลาสสิคแบบนี้กับรถไฟไทย อาจจะช่วยให้เรามองเห็นอะไรบางมุมได้ดีก็ได้

การรถไฟแห่งประเทศไทย
Facebook: https://www.facebook.com/pr.railway

Writer: Pakkawat Tanghom
Photographer: Kongkarn Sujirasinghakul

RECOMMENDED CONTENT

26.พฤษภาคม.2020

เมื่อสองศิลปินคุณภาพชื่อดังของสิงคโปร์ Gentle Bones และ Charlie Lim ได้มีโอกาสมาร่วมงานเพลงด้วยกันครั้งแรก