Street Wear เติบโตขึ้นมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยกระแสโลกที่นักร้องนักแสดงหันมาหยิบจับสวมใส่ ทำให้แฟนๆ ทั่วโลก รวมไปถึงชาวไทยที่ให้ความสนใจ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีร้าน Street Wear ในประเทศไทยเกิดขึ้นมากมาย แต่ที่โดดเด่น และเห็นได้ชัดสุดคงหนีไม่พ้น CARNIVAL ร้านรีเทลเลอร์ ที่เริ่มจากการขายรองเท้า Converse ตามสไตล์ของผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง ปิ๊น – อนุพงศ์ คุตติกุล ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นอะไรที่ก้ำกึ่ง ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ แต่ผลตอบรับกลับผิดคาด เพราะรองเท้าที่ถูกเลือกเข้ามาขายนั้น ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา CARNIVAL เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้านธุรกิจ ฐานลูกค้า และสินค้าใหม่ที่เลือกมาขายได้อย่างกว้างขึ้น หลายคนคงสงสัยใช่ไหมว่าเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร ทั้งที่รองเท้าเหล่านั้นใครก็เอามาขายได้ เขามีมุมมองทางด้านธุรกิจอะไร และอะไรที่ทำให้ธุรกิจของเขาไปได้สวยขึ้น
—————
เห็นว่าตอนนี้ CARNIVAL มีทั้งหน้าร้านและออนไลน์
เรามีหน้าร้านปกติตามห้างหลายสาขาเลย รวมถึงที่เป็นหน้าร้านออนไลน์ด้วย ของที่เอามาขายบางชิ้นจะไม่มีอยู่ที่หน้าร้านปกติ เพื่อให้เกิดความพิเศษขึ้น และคนต่างจังหวัดจะได้มีสิทธิ์ซื้อด้วย ส่วนสต๊อกสินค้าทางเราจะแยกไว้คนละส่วน สำหรับออนไลน์กับหน้าร้าน เพราะอยากให้คนที่กดซื้อได้ของจริงๆ ไม่ใช่จ่ายเงินแล้วไม่มีของ
ร้าน Carnival เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นมาจากที่ผมและเพื่อนสนิทอีก 2 คน ชอบสะสมรองเท้า เราก็มองว่ามันสามารถทำเป็นธุรกิจได้ แล้วก็อยากเห็นร้านรองเท้าที่มีคุณภาพเหมือนในต่างประเทศ ร้านที่ขายรองเท้ารุ่นพิเศษ หรือขายของอื่นๆ ที่เราสนใจ แรงบันดาลใจของเราตอนนั้นคือ “เราอยากเห็นร้านแบบนี้ในเมืองไทยนะ” CARNIVAL ก็เลยเกิดขึ้นมา
ตอนเริ่มต้นเป็นอย่างไร
ตอนเริ่มยากมาก เพราะเราเป็นร้านเล็กๆ อยู่ร้านเดียว ตอนนั้นพวกเราทาสีร้านเอง ดูแลเอง ทำทุกอย่าง เพราะตอนนั้นผมมีงานประจำอยู่ด้วย ผมกับหุ้นส่วนทุกคนตั้งใจทำกันมากๆ ทำทุกอย่างเองหมด ตอนนั้นก็มีติดขัดสิ่งโน้นสิ่งนี้บ้าง มันก็มีอุปสรรคเยอะอยู่แล้วเวลาเปิดร้านใหม่ๆ แต่พวกเราก็ผ่านมาได้
ตอนไหนที่รู้ว่าร้าน CARNIVAL ไปได้แน่ๆ
คือเหมือนกับว่า CARNIVAL เป็นที่พูดกันทั่วไป เวลาไปที่ไหนก็ได้ยินชื่อร้าน เห็นถุงของร้าน ไม่ว่าจะเป็นตามสยามสแควร์หรือที่ต่างๆ นั่นก็คือสิ่งที่บอกว่าลูกค้าเริ่มรู้จัก CARNIVAL แล้ว ต่อจากนั้นเราก็รักษาระดับในสิ่งต่างๆ ที่เรามีให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการบริการ หรือว่าสินค้าที่เราต้องพัฒนา ทำ product ให้หลากหลายมากขึ้น
อย่างเช่น เมื่อก่อนเมืองไทยไม่เคยมีรุ่นพิเศษแบบนี้เข้ามา เราก็ต้องคิดต้องทำให้รองเท้าคู่นั้นเข้ามาวางที่นี่ให้ได้ ซึ่งเราต้องพัฒนาเรื่อยๆ เราไม่ได้พอใจแค่จุดนี้ ต้องคิดว่าพอมี CARNIVAL ขึ้นมาแล้วเนี่ยประเทศไทยต้องมีสินค้าหลากหลายขึ้น และเราก็ทำงานใกล้ชิดกับหลายๆ แบรนด์ ที่ร่วมพัฒนากับโควตาของ product บางชนิดที่เมืองไทยไม่เคยได้ จนช่วงที่ผ่านมาเราก็ได้สินค้าหลากหลายขึ้นเข้ามาขาย
หลายๆ คนบอกว่า CARNIVAL ในเวลานี้ประสบความสำเร็จแล้ว คุณคิดแบบนั้นไหม
ถ้าถามว่ามัน Successful ไหม ผมก็บอกว่ามันก็ในระดับหนึ่ง ในระดับที่เราพอใจ แต่มันก็มีอีกหลายๆ อย่างที่เราเห็นเราอยากทำแล้วมันยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งเราก็เฝ้ารออยู่ แต่ถามว่าในระดับที่เราพอใจไหม เราก็พอใจ แต่เราก็ไม่ได้หยุดที่ตรงนี้
ตอนนี้ CARNIVAL อยู่จุดไหนของวงการสตรีทแฟชั่นในประเทศไทย
อันนี้เราไม่กล้าบอก ต้องให้ลูกค้าเป็นคนบอกว่าเราอยู่จุดไหน ส่วนเป้าหมายของเราต้องการเป็น Leading Company อยู่แล้ว leading ทางด้านสินค้าและ leading เทรนด์ต่างๆ
วงการสตรีทแฟชั่นในประเทศไทยตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
ผมว่าดีที่สุดในรอบ 3–4 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรองเท้า เสื้อผ้า ตอนนี้คนให้ความสนใจเยอะมาก จากที่ลูกค้าไม่มีความรู้เรื่องสินค้า ตอนนี้เค้าก็เริ่มคุยกันในกรุ๊ป facebook ว่ารองเท้ารุ่นนี้เป็นอะไรยังไง ของปลอมดูยังไง เสื้อผ้าซื้อได้ที่ไหน และมีการซื้อขายกันเกิดขึ้น มันทำให้เกิดกระแสมากขึ้น
ส่วน CARNIVAL เองก็เริ่มคุยกับแบรนด์ต่างๆ เพื่อให้ได้รุ่นที่มีขายอยู่ในต่างประเทศมาขายในร้านของเรา ซึ่งตอนนี้ก็มี Nike, Stussy, UNDEFEATED และตอนนี้เราก็เวิร์คกับ Adidas จนเราได้ product ดีๆ มาขาย ซึ่งผมถือว่ามันเป็นปีที่ดีมากๆ ของ Street Wear ในเมืองไทย และในตอนนี้วงการ Street Wear ของประเทศไทย ถือว่ามาแรงที่สุดใน South East Asia ด้วย
มีวิธีการเลือกสินค้าอย่างไร
ต้องแยกก่อนว่าร้านแรก ของเราคือ Converse CARNIVAL ตอนนั้นเราเลือกด้วยความชอบส่วนตัว เราชอบรุ่น limited รุ่นพวกนี้เมืองไทยยังไม่มี เราเลือกมาวางขาย หลังจากนั้นเราไม่ได้ทำแบรนด์เดียว เราทำทั้ง Nike หรือ Adidas และแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ
การเลือกสินค้าผมจะบอกว่าเป็นอะไรที่ยากที่สุด คือเราเลือกด้วยความชอบส่วนตัวไม่ได้ เพราะว่ามันผิดพลาดได้ตลอด เช่นของเหลือสต็อก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกๆ บริษัท เพราะฉะนั้นเราใช้ความชอบส่วนตัวได้เพียงแค่ส่วนเดียว ส่วนที่ 2 ก็คือใช้การคาดเดาของตลาด ว่ารุ่นนี้ลูกค้าน่าจะชอบ ซึ่งทุกวันนี้ถามว่าเรามีผิดพลาดไหม เราก็ยังมีอยู่ แต่เราก็พยายามปรับปรุงว่าจะทำอย่างไรให้ขายให้หมด
ปัญหาที่หนักที่สุดที่เคยเจอในการทำธุรกิจ
ผมคิดว่าเป็นเรื่องของพื้นที่เช่า ที่เราเช่าขายของอยู่ดีๆ จู่ๆ เจ้าของที่มาบอกว่าคุณต้องย้ายออกภายใน 2 เดือน ซึ่งมันเป็นอะไรที่เราไม่ได้เตรียมการเอาไว้ก่อน แล้วเราต้องหาพื้นที่ใหม่พร้อมตกแต่งให้เสร็จภายใน 2 เดือน ลำบากมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือความโชคดี เพราะว่าทุกครั้งที่เราต้องหาร้านใหม่หรือว่าย้ายร้าน เราก็จะได้พื้นที่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เกือบทุกครั้ง อาจเป็นเพราะว่าเจ้าของพื้นที่หรือเจ้าของห้างเขาเห็นศักยภาพของ CANIVAL ทำให้การย้ายร้านในแต่ละครั้งยอดขายเราเพิ่มขึ้น ก็ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย มันก็ผ่านมาและเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้เราช่วยจัดการมันได้ในอนาคต
ไม่หลุด Focus
เราเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมันต้องแก้ด้วยสติ ซึ่งมันไม่ได้กระทบแค่เราคนเดียว เพราะยังมีพนักงาน ร้านค้า สินค้าที่เหลือ เราต้องหาทางที่ดีที่สุด ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันต้องมีทางออกมัน อยู่ที่ timing ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง เราอาจจะโชคดีที่เราไม่เจอสถานการณ์ที่แย่นั้นนานๆ แต่เราก็มีทั้ง partners ที่ดี มีทั้งพนักงานช่วยกัน และมีใจที่จะขับเคลื่อนร้าน CANIVAL ให้ไปข้างหน้าได้
ไอเดียในการทำธุรกิจ
หนึ่งเลยต้องมองตลาดว่าขายอะไร แล้วมันมีตลาดอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า สองคือสิ่งที่สำคัญกับ CANIVAL ตอนนี้ ก็คือการทำ communication คือการสื่อสารกับลูกค้า ต้องทำยังไงที่จะบอกลูกค้าว่าสินค้านี้มีขายแล้วนะ และไม่ใช่แค่มีขายแล้วอย่างเดียว ต้องบอกให้ได้ว่าทำไมลูกค้าถึงจะต้องซื้อ เพราะฉะนั้นการสื่อสารในทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ มันคือที่ที่เราจะได้เข้าถึงลูกค้า ได้คุยกับลูกค้า
ทำไม CANIVAL ถึงหันมาทำคอลเล็กชั่นของตัวเอง
จริงๆ แล้วผมเอาโมเดลการทำแบรนด์ของ CANIVAL มาจากร้านที่เมืองนอก ซึ่งร้านรองเท้าที่เมืองนอกจะไม่ได้ขายแค่รองเท้าอย่างเดียว จะมีแบรนด์ต่างๆ และ house brand ก็คือแบรนด์ของร้านนั่นแหละ ทีนี้เมื่อพูดถึง CANIVAL แบรนด์ เราไม่ต้องการทำเป็น ‘เสื้อที่ระลึก’ เหมือนกับคนมาร้าน CANIVAL ซื้อของ และได้เสื้อเราเป็นที่ระลึก เราไม่อยากทำแบบนั้น เราอยากทำเป็นแฟชั่นแบรนด์ เป็นแบรนด์ที่สามารถแยกออกไปขาย stand aloneโดยที่คุณไม่ใช่แค่สติกเกอร์ นี่แหละคือความตั้งใจของผม
เราเริ่มทำกันมาตั้งแต่หลายปีก่อน และปีที่ผ่านมาเราจริงจังขึ้นมาในระดับหนึ่ง ปีนี้จะเป็นปีที่เราทำ full collection เพราะว่าปีนี้ผลตอบรับดีมากๆ มากกว่าที่เราคิดไว้ สินค้าเรามีคนมาต่อคิวรอตั้งแต่ตี 4 และขายหมดตั้งแต่ 30 นาทีแรก ซึ่งเป็นอะไรที่เราตื่นเต้นแล้วก็ดีใจกับมันมากๆ ซึ่งในปีนี้ ปีหน้า และปีต่อๆ ไป มันก็เป็นอะไรที่เราจะตั้งใจทำมากๆ
วิธีในการสร้างคอลเล็กชั่น
วิธีคือผมต้องทำให้ตัวเองอินกับเสื้อผ้า อินกับแฟชั่นปัจจุบันก่อน หลังจากนั้นสิ่งที่เราอินจะเป็นตัวผลักดันออกมาในงานดีไซน์ ซึ่งผมเป็น head design และจะมีน้องๆ ที่ออกแบบออกมาเป็นเสื้อผ้า ซึ่งมันก็มาจากตัวตนของผมบวกกับคาแร็กเตอร์ของลูกค้า ซึ่งแบรนด์ของเราจะเป็น Sport Wear + Street Wear แน่นอนว่ามันต้องใส่ง่ายและสวมใส่สบาย นี่แหละคือสิ่งที่เรา inspired
Movement ต่อไปของ CANIVAL
อยากให้จับตามองแบรนด์ใหม่ๆ ที่เราเริ่มทำงานกับเขา ไม่ว่าจะเป็น Adidas หรือจะเป็น Nike เพราะว่าปัจจุบัน CANIVAL ได้ Approved ให้เป็นแบรนด์ที่อยู่ในระดับ Fashion Brand รายเดียวของประเทศไทย เพราะฉะนั้นมันจะไม่ใช่แค่ส่งผลดีกับ CANIVAL เท่านั้น แต่มันส่งผลดีสำหรับประเทศไทยด้วย เพราะเราจะได้โควต้ารองเท้าที่ไม่เคยเข้าเมืองไทยมาก่อน หรือแม้กระทั่งไม่เคยเข้า shop มาก่อน สินค้าเหล่านั้นจะมาเข้าที่นี่
RECOMMENDED CONTENT
ย้อนรอยสู่จุดกำเนิดแห่งดนตรีเทคโนกับผลงาน Black to Techno โดยผู้กำกับฯ หญิงชาวอังกฤษ - ไนจีเรียน Jenn Nkiru ผู้จะพาเราไปสัมผัสวัฒนธรรมดนตรีเทคโนจากจุดกำเนิดที่เมืองดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา จากดนตรีกระแสรองสู่ความนิยมสุดขีดช่วงปลายยุค 1980s นำไปสู่ดนตรีที่สะท้อนต่อสู้เพื่อบทบาทในสังคมและเสรีภาพของกลุ่มคนผิวสีในดีทรอยท์