สำหรับใครที่เคยเที่ยวตามผับบาร์หรือคลับต่างๆ ถ้าหากคุณไม่เมาหัวทิ่มซะจนเพื่อนต้องหามหรือมัวแต่เอาเวลาไปนั่งส่งสายตาหวานๆให้คนอื่นอยู่ เรารับประกันว่าคุณต้องเคยเห็นหน้าบุคคลที่เราได้พูดคุยกันวันนี้แน่ๆ เธอคือ “DJ Pichy” ดีเจหญิงที่เปิด Drum&Bass คนแรกๆของเมืองไทย และไม่ว่าไปเปิดแผ่นที่ไหนก็ต้องมีคนจำท่าทางและสไตล์บทเพลงที่เธอเปิดกันได้ กับรอยยิ้มที่เห็นอยู่ด้านหลัง Turntable บ่อยๆ มาวันนี้เพื่อเอาใจสำหรับคนที่กำลังคิดอยากเป็น DJ หรือกำลังสนใจสายอาชีพนี้ เราเลยคิดว่าการได้นั่งพูดคุยกับเธอแบบตัวต่อตัว น่าจะช่วยตอบความสงสัยที่คุณมีเกี่ยวกับการเป็น DJ ได้ไม่มากก็น้อย เรานัดเจอกันที่ร้าน Roast Coffee & Eatery ใน Seen Space ซอยทองหล่อ พูดคุยกับเธอถึงไลฟ์สไตล์ในบทบาทของคุณแม่และดีเจกัน (เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการอ่านคอลัมน์นี้มากขึ้น เราขอแนะนำให้เปิดฟัง Soundcloud ของเธอไปพร้อมกันเลย www.soundcloud.com/pichy)
ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้างครับ?
ตอนนี้หลักๆก็มีงานหลักๆเป็น DJ ค่ะ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเคยได้ยินถึง “Quay Records” มั้ย มันเป็นโปรเจคต์เหมือนค่ายดีเจที่เราทำกับพี่ตุลย์ พี่เหวิ่น พี่ใหม่ ในส่วนของ Quay Records นี้ ก็นอกจากเราจะรับเป็นดีเจเปิดเพลงกันแล้ว ก็มีรับงานอย่างอื่นด้วย เช่นทำ Event จัดงานต่างๆ ส่วนใหญ่งานที่ทำ… มันก็เหมือนสนอง Need กันเองด้วยค่ะ (หัวเราะ) ก็ไม่ค่อยได้เงินกำไรอะไรหรอก เวลาจัดงานเราก็จะพยายามเอาศิลปินที่ชอบๆมาลงให้คนรู้จักมากขึ้น เหมือนอย่างปีที่ผ่านมาช่วงต้นปีจนถึงกลางปีเราก็มีงานทำ Event เยอะ จนพอมันมีปัญหาเรื่องการเมือง มีเคอร์ฟิวก็ต้องหยุดไป เราก็จุกเหมือนกัน มันเป็นจุดหักเหเลยนะ เพราะมันค่อนข้างกระทบไปหมด ไม่ใช่แค่ฝั่งเรา ฝั่งเศรษฐกิจของคนอื่นด้วย แล้วก็ที่สำคัญเลยสำหรับตอนนี้ก็เป็นแม่บ้านค่ะ เลี้ยงลูก หุงหาอาหารให้สามี เพราะเราก็มีครอบครัวแล้ว
เริ่มรู้ตัวว่าอยากเป็น DJ ตั้งแต่เมื่อไร?
โห… นานมากแล้วละค่ะ ก็คงตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว ก็คงเหมือนเด็กไทยคนอื่นๆละมั้ง เด็กๆพอเลิกเรียนเสร็จเราต้องไปเข้าร้าน Tower Records เพราะต้องไปรอแม่ทุกวัน พอดีตอนนั้นแม่ทำงานออฟฟิศอยู่แถวที่สยาม ระหว่างรอแม่เราก็เข้าร้านนี้ไปเดินดูเพลงทุกวันเลย ชอบฟังเพลง แล้วก็ชอบซื้อเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ มันก็เลยเหมือนทำให้เราได้สะสมเพลงเก็บมาเรื่อยๆ อืม แล้วตอนเด็กๆเราเคยอยู่วงโยธวาทิต ก็ได้เล่นพวก Marimba Xylophone แล้วก็มีเล่นคีย์บอร์ดนิดๆหน่อยๆนะ แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ที่มาเริ่มรู้สึกว่าอยากเป็น DJ จริงๆคงเป็นช่วงประมาณ… เออ มันนานมากแล้วจริงๆล่ะ (หัวเราะ) ประมาณปี 1999 ได้ ตอนเด็กเราก็เป็นเด็กเที่ยวๆอะนะ ได้เห็น DJ เปิดเพลง ได้เห็นเค้าเล่น มี Turntable กัน ก็รู้สึกว่า “เห้ย มันเท่ดี” …ก็คิดแบบเด็กๆอะนะ อยากเล่นบ้าง ซึ่งจริงๆตอนนั้นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่บ้านเราก็มี แม่เราซื้อไว้ แต่มันเป็นเครื่องเล่นที่เอาไว้ฟังอย่างเดียว ไม่ใช่ที่เอาไว้เล่นแบบที่เห็นๆกัน สมัยนั้นพวก Turntable ของ DJ เราไม่มีเงินซื้อหรอก ก็เลยต้องอาศัยไปดูชาวบ้านเค้า ไปดูพี่ๆเค้าเล่น
ตอนนั้นมีใครที่เป็น Inspiration ให้กับเราบ้าง?
คนไทยหลักๆตอนนั้นก็มี พี่มังกร พี่เหวิ่น พี่เต้ง DJ Spydamonkee ส่วนต่างประเทศก็ DJ Zinc เค้าเป็นดีเจ Drum & Bass ที่เราชอบมากๆ ตอนเราเริ่มเปิดเพลงแรกๆ เราก็เปิดแนวนี้ล่ะ
แล้วเริ่มเรียนรู้การเป็น DJ จากอะไร?
สำหรับเรา อย่างที่บอกไปคือ เราเริ่มด้วยการไปยืนๆดูพี่ๆเค้าเล่นๆ พอมีโอกาสได้จับ ตอนแรกมันก็ได้ลองผิดลองถูก มันเล่นไม่เป็นหรอกตั้งแต่ต้น แต่พอเริ่มได้เล่นบ่อยมันก็ถนัดมือมากขึ้น แล้วมันจับพลัดจับผลูพอดีกับตอนประมาณปี 2002 เราเริ่มทำงานร้านแผ่นเสียง Jazzbah records อยู่สยามสแควร์ ตอนนั้นทำงานไม่มีเงินเก็บเพราะเราทำงานได้มา ก็เอาเงินมาซื้อแผ่นเสียงอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) ช่วงนั้นก็เลยมีแผ่นเก็บไว้เยอะ แล้วเราก็เริ่มรวมทีมกับเพื่อนที่สนใจฟังเพลงแบบเดียวกัน ถ้าเอาแบบที่ได้เปิดเพลงจริงๆจังๆก็น่าจะประมาณปี 2003 แบบประเภทที่มีคนจ้างไปเล่นตาม Event ตามร้านแล้ว ไม่รู้ว่าเคยได้ยินกันหรือเปล่าเป็นคลับในยุค 2000 ต้นๆ ชื่อ Café de Moc ส่วนใหญ่ทุกคนพี่ๆ DJ แต่ละคนที่เราบอกไปตอนแรก รวมถึงพี่ตุลย์ (อพาร์ตเมนต์คุณป้า) ก็จะรวมกันอยู่ที่นี่ เราไปก็ได้ไปเจอและเป็นเพื่อนกัน จนถึงทุกวันนี้ทุกคนก็ยังสนิทสนมกลมเกลียว มันเหมือนเราเข้าโรงเรียนเดียวกัน ฟังเพลงด้วยกัน ชอบเพลงเหมือนกัน เปิดเพลง กิน เที่ยวด้วยกัน
การทำงานในยุคนั้นเป็นยังไงบ้าง?
ข้อแตกต่างที่สำคัญเลยคือ ยุคนั้นมันไม่มี Digital โอเค มันเป็นยุคที่มี CD แล้ว แต่ว่ามันไม่มีเครื่องเล่น CDJ เหมือนทุกวันนี้ ย้อนไปสมัยก่อนคนที่เป็น DJ จะต้องต้องเล่นกับแผ่นเสียงเท่านั้นนะ เราทุกคนต้องซื้อแผ่นเสียง เวลาจะไปเปิดที่ไหนก็ต้องขนแผ่นเสียงกันเป็นกระเป๋าเดินทาง ต้องเป็นช่วงปี 2006-2007 มันถึงค่อยเริ่มมีเครื่องที่เล่นดิจิตอลได้ด้วย ชื่อ “Serato” เครื่องนี้ทุกวันนี้เราก็ยังใช้อยู่ มันจะเป็น Hardware แล้วก็มีแผ่น Time Code สามารถเล่นได้ทั้งแผ่น CD และแผ่นเสียง แล้วแต่ Set-Up ส่วนสมัยนี้ยุคของ MP3 ข้อดีคือมันถูกแหละ แต่ถ้าถามเราพอยุคดิจิตอลมันเข้ามาเทคโนโลยีมันดีก็จริง แต่สำหรับเราตอนนั้นเรารู้สึกเสียดาย Digital มันเหมือนทำให้ Analog ตายทุกอย่าง อันนี้ไม่ได้พูดถึงแผ่นเสียงอย่างเดียว น่าจะรวมไปถึงพวกกล้อง เทป Cassette ด้วย ซึ่งสุดท้ายยังไงเราก็ว่า Analog มันมีเสน่ห์ของมัน อย่างการซื้อแผ่นเสียงมันเก็บได้นานกว่า เราคิดว่ามันเก็บได้เป็น 100 ปีเลย เทียบกันกับซื้อ CD ไปสักพักมันก็เป็นรอย พอมันลอกก็เล่นไม่ได้แล้ว ถึงสังเกตได้ว่าทุกวันนี้ก็ยังมีบางคนหันกลับไปเล่นอะไรที่เป็น Analog กันอยู่
มองในเรื่องของวงการ DJ เมื่อเทียบกับสมัยนี้?
ไม่รู้จะเรียกว่าดีกว่าไหม แต่เราว่า Scene DJ ของเมืองไทยช่วงนั้นมันพีคมากๆ ช่วงที่มี Club Astra อยู่ใน RCA คือ Scene DJ ตอนนั้นคลับใหญ่ สถานที่ดี เครื่องเสียงดี เพื่อนๆดี คนที่มาเที่ยวก็ดี DJ ที่มา Act แต่ละคืนก็ดี แล้วเรารู้สึกว่าคนยุคนั้นเค้าตั้งใจฟังเพลง ตั้งใจเที่ยวกันนะ แบบเดือนๆจะมีตารางเวลากันเลย ว่าวันนี้เป็นคิวของใคร เราอยากไปฟังที่ไหน ตามไปฟังดีเจคนไหน บวกกับว่าพอ Scene มันเล็ก คนที่สนใจศิลปะ สนใจดนตรี มันก็เลยมารวมๆกัน มันก็เลยดูคึกคักแล้วก็ดูตั้งใจให้ความสนใจกัน เทียบกับยุคนี้เราทุกอย่างว่ามันค่อนข้างเป็นเหมือนกระแสโลกไปหมดแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้เวลาอะไรที่เป็นกระแสมันไม่ใช่แค่เมืองไทยนะ เราไปต่างประเทศมันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แบบดนตรี EDM ครองโลก คนเที่ยวคนฟังก็จะเป็นอีกแบบ ถามว่าเราเที่ยวแบบนี้เรา Enjoy มั้ย คนไปดูหญิงไปดูอะไรก็คงดีล่ะ เพลงมันแบบให้เฮฮาอะพอได้ แต่ให้นั่งฟังทั้งคืนเราว่าคงไม่ไหวหรอก
สำหรับ DJ Pichy คิดว่าหน้าที่ของ DJ คืออะไร?
หน้าที่ของ DJ เหรอ… (หัวเราะก่อนเลย) เราว่ามันคือการ Entertain คนฟัง ไม่รู้สิ สำหรับเรา เราคิดว่าหน้าที่เราคือการเปิดเพลง Entertain ผู้ฟังให้มันไพเราะเสนาะหู เรารู้สึกได้นะว่าคนชอบเพลงที่เราเปิด มันจะมีความรู้สึกบอกได้เองว่าเออวันนี้เราเปิดเพลงเพราะ คือ DJ แต่ละคนเราว่ามันอยู่ที่ Feeling เค้าด้วยล่ะ วันไหนอารมณ์ดีมันจะ Smooth มาก วันไหนที่อารมณ์ไม่ดีมาหรือมีเรื่องอะไรเครียดๆ เราก็จะเปิดเหวี่ยงๆ เราก็จะรู้เลยว่าวันนี้เราเปิดไม่ดี
มีวิธีการเปิดเพลงที่เป็นสไตล์ของเราไหม?
เรื่องวิธีการเปิดนี่คนอื่นเราไม่รู้ว่าเป็นเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้เราจะตั้ง Folder เอาไว้ ว่าเป็นเพลงที่เราใช้ DJ บ่อยๆ ก็เลือกมารวมๆกันไว้ประมาณ 5,000-6,000 เพลง แต่เราจะไม่ใช้ Playlist แบบ Fix ไว้เลยว่าต้องเล่นเพลงอะไร ต่อเพลงอะไร เราชอบมาเลือกอีกทีหน้างานว่าจะเลือกเปิดอะไร ดู Feel คนฟัง ดู Mood ดูบรรยากาศ ว่าจะเปิดเพลงอะไร สำหรับเรา เราว่า DJ มันเป็นเรื่องของ Feeling มากๆ ส่วนเรื่องสไตล์ของเพลงที่เปิด ทุกวันนี้เราจะแยกตัวเองออกเป็น 2 พาร์ท มีส่วนที่เป็นภาค DJ Pichyเปิด Drum&Bass สมัยก่อนเราจะเปิด Drum&Bass ที่คนฟังบางทีบอกว่ามันหนักหู แต่จริงๆถ้าวัดใน Scene ของคนที่เปิดเพลง Drum&Bass กันจริงๆ เราว่าของเราถือเป็น Drum&Bass ที่ค่อนข้างหวานนะ คือจะมีความ Funky Jazzy จะมี Groove เข้ามาหน่อย มันเรียกว่าเป็นแนว “Liquid” Drum&Bass คือมันจะออกหวานหน่อย แต่ทุกวันนี้มันจะมีอีกพาร์ทนึงเป็น DJ Pichy ที่เปิดเพลง Hip-Hop Old School มากกว่า เป็นพวก Funk เป็น Boogie เป็นอะไรไป คือเหมือนเปิดเพื่อความไพเราะแล้ว ทั่วไปคืนนึงก็เปิดประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก็ไล่ตั้งแต่ Soul เป็นช้าๆไป เปิดเพลงเหมือนเล่าเรื่องราวของแต่ละวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพื้นฐานปกติเราก็จะเปิดแต่เพลงที่เราอยากฟังอยู่แล้วล่ะ ฟังดูเหมือนเอาแต่ใจนิดนึงนะ (หัวเราะ)
สิ่งสำคัญสำหรับการเป็น DJ?
มันพูดยากนะ เราว่าของเรามันคือ การรู้ว่าตัวเองชอบอะไร คือไม่ใช่ว่าคุณตามกระแสอะ ยิ่งกระแสเพลงมันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมาเร็วไปเร็ว คืออาจจะศึกษาพอให้มันรู้ความเป็นไปของโลกนี้ แต่ให้ไปตามคนอื่นมันยากเพราะคนเราชอบอะไรไม่เหมือนกันหรอก ถ้าจะให้ดีควรหาจุดหาแนวทางตัวเองดีกว่า แล้วถ้ารู้ว่าชอบอะไรก็ลงลึกไปถึงรากของมัน พยายามโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ เราว่าคุณจะแฮปปี้กว่านะ
ทุกวันนี้ยังฟังเพลงอยู่ตลอด?
ก็ยังฟังเพลงตลอดค่ะ เพลงใหม่ก็มีฟังบ้าง ศิลปินที่เราตามงานเขาก็มี DāM-FunK ที่ล่าสุดเค้าเพิ่งมีอัลบั้ม “7 Days of Funk” ทำกับแร็ปเปอร์ Snoopzilla ไป (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Snoop Dogg) และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา Quay Records ก็เชิญเค้ามาเล่นที่กรุงเทพด้วย แต่ส่วนใหญ่เราจะชอบฟังเพลงเก่าๆ ทุกวันนี้ก็ยังชอบซื้อเพลงแผ่นเสียงอยู่เหมือนเดิม บางคนเค้าอาจจะชอบดาวน์โหลดกัน แต่ส่วนตัวเราเป็นคนชอบซื้อเพลงอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ เราว่ามันเป็นการเคารพศิลปิน อะไรที่มันชอบจริงๆเราก็จะซื้อเป็นแผ่นเสียงเอาไว้ สมัยนี้ข้อดีเวลาซื้อแผ่นเสียงคือมันจะมี Card มี Code มาให้เรา Download ด้วย ซึ่งมันก็เก็บได้เป็นไฟล์ทั้งอัลบั้มใน iTunes เลย แต่ถ้าวงไหนหรืออัลบั้มไหนไม่มีแผ่นเสียงเราก็จะซื้อใน iTunes นะ จริงๆออนไลน์มันก็มีเวปอื่นอีก อย่างมี Juno มี Beatport เหมือนบางทีอยากตามงานของ DJ คนอื่นๆที่เราชอบ ก็จะหาซื้อจากในนี้
มีแผ่นเสียงเยอะไหมครับ?
ที่บ้านตอนนี้ก็คงประมาณ 2,000 ถึง 3,000 แผ่นได้มั้งคะ ก็เก็บมาตั้งแต่เด็กๆอะแหละ มันมีอยู่ทีนึงกระเป๋าแผ่นเสียงเราหาย เราลืมไว้หลังรถแท็กซี่ โห เราจำได้แม่นเลย เราแบบร้องไห้เลยนะ เพราะมันเป็นตอนปี 2005 หลังจากเราไปเที่ยวออสเตรเลียมาพอดี ตอนนั้นเราซื้อแผ่นกลับมาเพียบเลย แล้วแผ่นเสียงราคามันก็ไม่ถูก ในกระเป๋านั้นก็จุได้ประมาณ 60-70 แผ่น เราเสียใจมาก มันไม่ได้เสียใจเรื่องราคานะ แต่มันเสียดายที่มันเป็นเพลงที่เราตั้งใจคัดเลือกมาเพราะเราอยากได้จริงๆ สุดท้ายก็ยังโชคดีที่ได้คืน เพราะ Taxi คันนั้นเค้าขับกลับมาหาที่ร้านที่เราเปิดเพลงอยู่
มีวิธีการหาแรงบันดาลใจจากอะไร?
ก็นอกจากมีซื้อแผ่นเสียง และฟังเพลงเป็นปกติแล้ว ในช่วงเดือน 7 ของทุกๆปี ที่ยุโรปจะมี Music Festival เยอะมาก แล้วเราจะชอบไปอยู่ Switzerland ช่วงนั้นพอดีเพราะแฟนเราเป็นคนสวิตซ์ ก็จะมีที่เมือง Montreux มันจะเป็น Jazz Festival แบบสองอาทิตย์ คือในสองอาทิตย์นั้นจะมี Line Up ศิลปินดีๆมาเล่นกันทุกวันเลย อืมก็เหมือนได้ไปเห็นอะไรดีๆเยอะแยะมากมาย อย่างเดือนที่ผ่านมาเราก็แวะไป Amsterdam แล้วก็ไปอังกฤษที่นี่จะมี Festival นึงชื่อ Lovebox Festival มีทั้งศิลปิน Mass และทั้ง Underground ผสมกัน เดี๋ยวนี้เกือบทุกปีเราจะ List ไว้เลยว่าเราจะไปที่นี่ที่นี่ ก็จะดูว่า Week นี้มีอะไรบ้าง เราอยากไปดูอะไร เรา Enjoy มากนะ ถึงขั้นเราชอบพูดกับเพื่อนเลยว่า อยากมีอาชีพไปดู Festival (หัวเราะ) แต่มันคงไม่มีใครจ้าง มันก็ต้องเสียเงินไปเอง
ถึงตอนนี้แล้วยังรู้สึกตื่นเต้นกับการเป็น DJ ไหม?
ถ้าให้พูดตามตรงทุกวันนี้เปิดเพลงมันก็เหมือนอาชีพ คือมันสามารถเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกได้ ถามว่าเบื่อมั้ย เราไม่ได้เบื่อการเป็น DJ เลยนะ แต่ว่าเราอาจจะเบื่อเรื่อง Scene ของมันนิดๆหน่อยๆ เหมือนที่บอกไปว่าสมัยก่อน Scene DJ มันสนุกกว่านี้มาก แต่ก็นั่นล่ะเราก็แค่เบื่อๆของเราคนเดียวนี่ล่ะ ก็ยังคุยกับเพื่อนๆเหมือนกันว่าเราคงเปิดเพลงแบบนี้อยู่อีกไม่เกิน 2 ปี แต่คงไม่ถึงขั้นเหมือนกับแขวนนวมอะไรแบบนั้น แค่ให้คิดว่า DJ เป็นอาชีพตลอดมั้ย เราว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว อาชีพแบบนี้นักดนตรี นักแสดงมันมีช่วงเวลาของมัน ตอนเด็กๆทุกคนก็คงจะเคยโดนผู้ใหญ่สอนว่า อาชีพเต้นกินรำกิน มันไม่ยั่งยืนหรอก พอทุกวันนี้เรามีครอบครัวแล้ว ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไป เราออกเปิดเพลง 5 วันต่ออาทิตย์ เราได้อยู่กับลูกตอนกลางวันก็จริงแต่พอกลางคืนเราต้องออกไปเปิดเพลง ซึ่งตอนนี้ลูกเราก็ 6 ขวบแล้ว เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เราก็ต้องมีคิดถึงอนาคตเอาไว้เหมือนกัน
พอมีครอบครัวแล้วชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม?
มันก็เหมือนต้องบริหารเวลามากขึ้นนะ ก็ตื่นมาตอนเช้าก็จะไปส่งเค้าไปโรงเรียน เราอยากใช้เวลาตอนรับ-ส่งไปโรงเรียนเป็นพิเศษ แล้วก็รีบกลับมานอน พอเค้าเลิกเรียนก็ไปรับ แล้วก็อยู่กับเค้าจนถึงหัวค่ำ ก็ออกมาเปิดเพลงเพราะเราจะเปิดช่วง 3 ทุ่มทุกวัน ถ้าวันไหนไม่มีคุยงาน ก็อยู่จนเค้าหลับ ซึ่งเราจะพยายาม Fix เลยว่า วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว จะพยายามใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย มีพาเค้าไปเที่ยวสวนสัตว์ เค้าชอบเล่นกับสัตว์ไปเขาดินกันบ่อยมาก พาไปเล่นน้ำ พาไป… เค้าเรียกว่าอะไรนะ ตู้ปลาที่พารากอน (หัวเราะ) ใช่ๆ Siam Ocean World ก็พยายามหาอะไรทำกัน ถ้าวันไหนฝนตกก็เป็นเด็กห้างพาเค้าไปเดินห้าง เวลาอยู่บ้านเราเปิดเพลง ลูกก็ Enjoy นะ เค้าก็จะชอบมาเต้นๆ บางทีก็มา Scratch แผ่นเรา เนี่ย หัวเข็มของเครื่องเล่นก็พังไปหลายอันแล้ว
นอกจากเรื่อง DJ ทุกวันนี้มีความสุขกับอะไรบ้าง?
ก็การมีครอบครัวนี่ละค่ะ แล้วก็การมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ดี คือถ้าคนรู้จักเรา จะรู้ว่าเราเป็นคนติดเพื่อน เราชอบอยู่กับเพื่อน แล้วก็จะหน้าเดิมๆ ทำอะไรซ้ำๆซากๆ ไปไหนกันซ้ำๆซากๆ กินอะไรซ้ำๆซากๆ (หัวเราะ) เราชอบนะ ยิ่งทำอะไรซ้ำๆมันจะแฮปปี้มาก เปิดเพลงเดิม เปิดเพลงที่เราชอบ เปิดเป็น 10 ปี 20 ปี เราก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม แล้วที่สนใจมากๆอีกเรื่องก็มีเรื่องทำอาหาร เราชอบทำอาหารมาก เพื่อนๆจะชอบเห็นเวลาเราทำอาหารแล้วโพสต์รูป ซึ่งเราอยากทำอะไรกับมันมากขึ้นกว่านี้ ก่อนหน้านี้เราเคยเปิดร้านอาหารนะ แต่ตอนนั้นมันอาจจะเปิดผิดช่วงก็ได้มั้ง มันก็ไม่เวิร์ค ตอนนี้ก็กำลังรอดูๆโอกาสอยู่ค่ะ
แล้วจะยังคงมีโปรเจคต์ที่จะทำอะไรกับดีเจอีกไหม?
ยังมีค่ะ เราคงไม่ทิ้งเรื่อง DJ อยู่แล้ว ทิ้งไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารักแล้วก็ทำมาตลอด นี่ต้นปีหน้า Quay Records เราก็กำลังจะมีโปรเจคต์อะไรคืบหน้าแล้วล่ะค่ะ ก็กำลังตั้งใจทำกันอยู่ แต่ยังไงดี เราไม่อยากบอกก่อนเลย… อืม… เออ เราจะพูดยังไงดีเนี่ย… (หัวเราะ) โอเค ก็เอาเป็นว่าติดตามข่าวสารละกันค่ะ
Writer: Pakkawat Tanghom
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
ทำเอาแฟนๆฮือฮาสุด สำหรับเพลงใหม่ของ Three Man Down ที่แอบสปอยจนแฟนเพลงลุ้นตัวโก่งว่าศิลปินที่จะมาร่วมแจมในเพลงใหม่คือใครกันแน่ แล้วก็สมการรอคอยจริงๆ เพราะงานนี้เป็นการโคจรจับคู่ฟีเจอริ่งทางดนตรีครั้งแรกกับแร็ปเปอร์มาดเท่อย่าง URBOYTJ