fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#VISIT — สเก็ตบอร์ด ศิลปะ โลกทิพย์ และชีวิตที่มีสัตว์ประหลาดเป็นเพื่อนของ Lucas Beaufort   
date : 27.กุมภาพันธ์.2018 tag :

ถ้ามีใครสักคนมาขีดเขียน วาดโน่นวาดนี่ลงบนหนังสือเล่มโปรดของเรา เราคงด่าเขาว่า ‘ไอ้มือบอน’ ด้วยความเอ็นดูอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่สำหรับบางคน ปกแม็กกาซีนนี่แหละ คือผืนผ้าใบอันเมามันและเมามือของเขาเลย!

ผู้ชายตัวสูงในชุดเสื้อโค๊ทสีนำ้เงิน มีรูปแมวยิ้มอยู่ด้านหลัง ยื่นมือที่เต็มไปด้วยคราบสีมาทักทายเราอย่างไม่แคร์ว่าสีจะติดมือเรากลับไปหรือไม่ เขาคือ ‘ลูกาส์ โบว์ฟอร์ท’ (Lucas Beaufort) ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้เติบโตมากับวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดยุค 90s ที่มีเพียงวีดีโอ VHS และแม็กกาซีนเป็นช่องทางหลักในการเสพข่าวสารในแวดวงสเก็ต จึงช่วงไม่ได้ที่เขาจะผูกพันกับแม็กกาซีนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น 

พร้อมกับการเป็นเด็กวัยรุ่นจากเมืองคานส์ที่ฝันถึงการได้ไปไถสเก็ตบนถนน Los Angeles ดูสักครั้ง โบว์ฟอร์ทบังเอิญค้นพบความสัมพันธ์ประหลาดระหว่างตัวเขากับสิ่งมีชีวิตจากดาวอื่นอย่างเอเลี่ยน และบรรดาสัตว์ประหลาด ไม่นานนักเขาก็ค้นพบพรสวรรค์ในการวาดรูปตามมาติดๆ

เขาลงมือวาดภาพ ‘เพื่อนๆ’ ลงบนปกแม็กกาซีนทั้ง Skateboarding, Place, Surfer และ Thrasher ให้สัตว์ประหลาดเป็นตัวแทนของตัวเขา รับรู้ความรู้สึกอันพริ้วไหวของนักสเก็ตในโมเม้นต์แสนอิสระนั้น

‘ความมือบอน’ ไม่เพียงทำให้โบว์ฟอร์ทกลายเป็นศิลปินระดับโลกที่แบรนด์ดังเรียกใช้บริการไม่ขาดสาย มันยังทำให้วัฒนธรรมสตรีท สเก็ตบอร์ด กราฟิตี้ และแม็กกาซีน ยังมีลมหายใจ

มือของเขาไม่เคยไม่เลอะสี…

ตั้งแต่มากรุงเทพฯ ไปสเก็ตที่ไหนมาแล้วบ้าง
ไปแถบๆ นอกเมืองกับเพื่อนนักสเก็ตบอร์ดคนไทย 2–3 คน ที่ไหนผมจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่มันเป็นที่ที่คนมารวมตัวกันเพื่อเล่นสเก็ต แล้วก็ทำ DIY สเก็ตกันเอง ซึ่งผมว่าโคตรเท่ ที่ฝรั่งเศสบ้านผมไม่มีอย่างนี้นะ เรามีลานสเก็ตสวยงามพร้อมเล่นมาก แต่มันคนละอารมณ์กับที่นี่เลย ผมชอบสเก็ตตามถนนมากกว่า

ความรู้สึกที่แตกต่างกันของการสเก็ตไปตามถนนกับ skate park คืออะไร
ผมชอบเล่นตามถนนมากกว่า เพราะมันไม่มีกำแพง ไม่มีกฎ อยากไปไหนก็ไป อ้อ แต่คุณรู้มั้ย เมื่อวันก่อนผมจะไปร้าน Preduce ที่สยาม พระเจ้า! ผมใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงบนแท็กซี่ แถมหลงทางอีก ถามคนนั้นทีคนนี้ที กว่าจะหาเจอ เล่นเอาเหนื่อยเลย

แล้วทำไมไม่นั่งรถไฟฟ้าไปล่ะ
เออ นั่นดิ (หัวเราะ)

การเป็นเด็กสเก็ตในยุค 90s มันเป็นยังไง
แม่ผมชอบให้เล่นกีฬาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล หรือบาสเก็ตบอล จนผมค้นพบว่าสเก็ตบอร์ดนี่แหละใช่ทาง

ตอนนั้นกำลังวัยรุ่น จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่เจ๋งที่สุดในชีวิตก็ได้นะ ในยุคที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่มีอินเตอร์เน็ต ชีวิตมันเรียบง่ายกว่านี้เยอะ

แรงบันดาลใจทุกอย่างมันเริ่มมาจากสเก็ตบอร์ด เวลาเพื่อนคนไหนกลับจาก LA พร้อมกับแม็กกาซีนสเก็ตสักเล่ม โห แม่งเป็นอะไรที่คูลสุดๆ ไปเลย เราเก็บแม็กกาซีนพวกนั้นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ผมจะฉีกหน้าที่ชอบแล้วแปะไว้บนผนังข้างเตียง ตื่นมาแล้วก็ ‘โอ้วว อเมริกา โอ้ว แคลิฟอร์เนีย’ แบบนั้นเลย

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงรักแม็กกาซีนมาก
แม็กกาซีนเป็นทางเดียวที่เราจะรับรู้ข่าวสารในแวดวงสเก็ตบอร์ด ณ ตอนนั้น นึกออกมั้ย ทุกวันนี้เรามีทุกอย่างบนอินเตอร์เน็ต เราเห็นคนเล่นสเก็ตที่แคลิฟอร์เนียสดๆ ผ่านโทรศัพท์ วันหนึ่งมีคลิปวีดีโอเป็นร้อยๆ บนฟีดเว็บไซต์ที่ผมติดตาม ดูให้ตายยังไงก็ไม่ทัน

แต่ยุค 90s เรามีแค่แม็กกาซีน กับวีดีโอที่ออก 2  เดือนครั้ง ม้วนเดียวต้องวนดูกันทั้งกลุ่มเป็นสิบๆ คน ดูเป็นสิบๆ รอบ อารมณ์เหมือนเวลาฟังเพลงจากเทปคาสเซ็ตต์น่ะ แค่ซื้อมาม้วนหนึ่งเราฟังวนไปวนมาในรถก็แฮปปี้สุดๆ ละ

ไม่ได้บอกว่าเมื่อก่อนดีกว่าหรอก แค่ความตื่นเต้นในการรออะไรสักอย่างมันหายไป ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว

บางคนเรียกสเก็ตบอร์ดว่ากีฬา ขณะที่บางคนบอกว่ามันคือ Peformance แล้วสำหรับคุณล่ะ สเก็ตบอร์ดคืออะไร
คือศิลปะอย่างหนึ่ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า คุณใส่เสื้ออะไร รองเท้าอะไร หมวกแบบไหน วิธีการที่คุณ Push บอร์ด วิธีการหมุนตัว ทุกอย่างเป็นศิลปะหมด

อะไรคือจุดที่ทำให้คุณเปลี่ยนจากการเล่นสเก็ตบอร์ดมาวาดรูป
ผมเล่นมาตั้งแต่อายุ 13 ตอนนี้ผม 36 แล้ว กลัวว่าถ้าตอนนี้ยังเล่นอยู่ คงตายเพราะสเก็ต (หัวเราะ) มันอาจไม่ใช่การเปลี่ยน แต่เรียกว่า transition มากกว่า เพราะสเก็ต จึงทำให้ผมอยากวาดรูป ผมแน่ใจว่าถ้าไม่มีสเก็ต ก็คงไม่ได้มาวาดรูปเหมือนทุกวันนี้

ถ้างั้นตอนไหนกันที่คุณค้นพบว่าตัวว่าชอบวาดรูป
วันคริสต์มาส ประมาณปี 2007 ผมคิดว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดพี่ชายดี แล้วผมไม่ได้อยากซื้อเสื้อให้ไง เลยคิดว่างั้นทำอะไรด้วยมือตัวเองนี่แหละ ผมก็หยิบกระดาษมาวาดรูปสัตว์ประหลาด แล้วใส่กรอบให้เขา ที่บ้านผมตื่นเต้นกันมาก เขาไม่เคยคิดว่าผมจะวาดรูปเป็น

ตอนนั้นพ่อแม่ของภรรยาผมเขาเห็นแล้วชอบ ขอให้ผมวาดให้เขาสักรูปได้ไหม ผมบอกโอเค หลังจากนั้นเพื่อนผมมันก็ขอให้ผมวาดให้หน่อย คิดเท่าไรก็ได้ จะเอาไปเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เงิน 300 ยูโร จากการวาดรูป แล้ว 1 ปีให้หลัง ผมก็มี art show เป็นของตัวเอง ซึ่งขายรูปได้เกือบหมด มันบ้ามาก เงินสดเต็มกระเป๋าแจ็กเก็ตผมเลย

เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้คาดหวังเลยนะ ผมเรียนรู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่มีเป้าหมาย รู้แค่ว่าอยากวาดรูป ทำไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆ มันก็ใหญ่ขึ้น คนเริ่มซื้องาน เริ่มเป็นที่รู้จัก

สไตล์การวาดแบบคุณเรียกว่าอะไร
เวลาวาด ผมไม่ได้คิดก่อนว่าจะวาดอะไร แค่วาดต่อๆ กันไปเรื่อยๆ คุณจะเรียกมันว่า naive art ก็ได้ เพราะมันเหมือนงานศิลปะของเด็ก 3 ขวบ บางคนบอกเป็นสตรีทอาร์ต แต่ผมว่าผมเพ้นต์ได้ทุกที่ ไม่ใช่แค่บนกำแพงหรือถนน ผมเลยไม่อยากเรียกตัวเองว่า สตรีทอาร์ติสต์

คาแร็กเตอร์เอเลียน กับสัตว์ประหลาด ในงานของคุณมีที่มาจากไหน
อยู่ๆ มันก็มากันเองตั้งแต่ผมเด็กๆ คืนหนึ่งผมกำลังหลับ อยู่ๆ ก็มีเสียงเปิดตู้เสื้อผ้า ผมกลัวมาก รีบวิ่งไปเปิดไฟ พอเปิดไฟก็ไม่เจออะไร

หืม?
จริง… ความคิดของเด็กอย่างผมตอนนั้นคือมันอาจเป็นสัตว์ประหลาดก็ได้ เหมือนคนเชื่อว่า UFO มีจริงน่ะ พอเราเชื่ออะไรเราจะรู้สึกว่ามันมีอยู่จริง แม้จะมองไม่เห็น ผมเชื่อว่ามันอาจมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด บางทีมันคงอยากติดต่อกับผมก็ได้มั้ง บางทีมันอาจรู้ว่าเราเป็นคนบ้าเหมือนกัน (หัวเราะ)

เหมือนเพื่อนในจินตนาการ
อะไรแบบนั้น…

คุณเคยบอกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นคือตัวแทนของคุณเอง สัตว์ประหลาด หรือคาแร็กเตอร์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมตั้งแต่เริ่มวาดจนถึงตอนนี้
เปลี่ยนแน่นอน เพราะในแต่ละปี ผมเติบโตขึ้น เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน แต่ก็มีคาเเร็กเตอร์ประจำของผมที่ต้องมี ขณะเดียวกันก็มีตัวใหม่ๆ เข้ามาเหมือนกัน คาแร็กเตอร์ประจำของผมตัวหนึ่งคือนก เป็นนกที่มีส่วนผสมของมนุษย์ เพราะผมเป็นคนที่รักอิสระเหมือนนก แต่นกอาจจะอยู่ในบริบทที่ต่างกันออกไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับว่าผมเจออะไรช่วงนั้น มีอยู่ปีหนึ่งผมวาดนกถือดาบ ไม่ใช่จะเอาไปฟันใคร แต่ผมวาดอาวุธ เพราะจะสื่อว่าชีวิตก็เหมือนกับการต่อสู้กับตัวเองต่างหาก มาปีนี้ผมก็วาดนกถือดอกไม้

ดอกไม้มีความหมายต่อคุณยังไง
เเม่ผม… เขาเป็นคนมี passion กับดอกไม้มาก รู้จักดอกไม้ทุกชนิดบนโลกใบนี้ ผมเลยได้ความเป็นหนุ่มรักธรรมชาติมาด้วย ไปเจอดอกไม้สวยๆ ที่ไหนนี่เด็ดไปฝากแม่นะ (หัวเราะ)

ดอกไม้เหมือนเป็นตัวแทนของการแบ่งปัน ความรัก สันติภาพ การเคารพตัวเองและคนอื่น ไม่ว่าคุณจะตัวใหญ่หรือตัวเล็กในสังคม ไอ้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่เรามีทุกคน และแบ่งปันให้คนอื่นได้ ซึ่งกลายเป็นคอนเซ็ปต์ในงานของผม ผมเริ่มวาดดอกไม้เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เป็นดอกไม้ของเด็ก 3 ขวบ

คุณคือหนึ่งในนักสเก็ตบอร์ดและศิลปินที่ทำงานสนับสนุน Skateistan องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ให้โอกาสเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เช่น อัฟกานิสถาน แอฟริกาใต้ และกัมพูชา ได้มีพื้นที่เล่นสเก็ตบอร์ด พร้อมกับโอกาสในการได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีอะไรบ้างที่คุณได้เรียนรู้ระหว่างการเดินทางไปทั่วโลกในโปรเจ็กต์ที่ผ่านๆ มา
ผมได้คุยกับเด็กๆ เยาวชนในบางจุดของโลกที่ลำบากมากๆ เช่น ย่านสลัม หรือประเทศที่มีสงคราม ทุกวันนี้เด็กๆ ที่ผมได้เจอก็ยังส่งข้อความเป็นผ่านอินสตาแกรมมาขอบคุณที่ผมทำให้เขามีแรงบันดาลใจ กล้าลงมือทำอะไรสักอย่าง หลายคนเคยเป็น nobody จนตอนนี้ได้ทำงานกับแบรนด์ เวลาได้ยินอะไรแบบนี้มันโคตรชื่นใจเลยรู้ไหม

สำคัญมากนะเวลาเรา inspired คนอื่นได้ เพราะผมเองก็เคยเป็นเด็กอายุ 14 ที่มีไอดอล มีความฝันเหมือนกัน เมื่อวันนี้เราได้มาแล้ว มันจึงจำเป็นที่เราต้องให้กลับคืนบ้าง

การเดินทางสำคัญยังไงกับนักสเก็ตอย่างคุณ
ผมเป็นโรคอยู่บ้านนานๆ ไม่ค่อยได้ จะเบื่อมาก เหมือนเสพติดการเดินทางไปแล้ว จำได้ตอนอายุ 14–15 อยากได้วีดีโอเกม อยากมีนู่นนี่ พอโตขึ้น การได้ของใหม่ ไม่มีความหมายเลยสำหรับผม

การทำงานตรงนี้เหมือนโดนสปอยล์หน่อยๆ อยู่แล้ว ผมมักจะได้ของขวัญจากแบรนด์ต่างๆ อยู่เรื่อยๆ แต่คุณรู้มั้ย เวลาเปิดกล่องของพวกนั้น ผมแม่งไม่รู้สึกอะไรเลยว่ะ แค่รู้สึกว่า ‘อ๋อ โอเค’ แค่นั้น มันคนละความรู้สึกกับเวลาแกะของขวัญคริสต์มาสตอน 6 ขวบเลย ความรู้สึกแบบนั้นหายไป แต่มันจะกลับมาตอนผมได้เดินทาง

จะบอกเด็กๆ ที่อยากเป็นอย่างคุณว่ายังไง
ผมมักบอกใครๆ ว่า คุณอยากเป็นอะไร จงทำมัน ทำไปเรื่อยๆ ทีละสเต็ป อย่าแบบ ‘กูอยากเป็นศิลปินโว้ยยย ลาออกจากงานพรุ่งนี้เลยดีกว่า’ แล้วก็กลับมานั่งกุมขมับว่า ‘เออ แล้วกูจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าเช่าบ้านวะ’ (หัวเราะ)

ผมจำได้ว่าตอนอายุ 13 ผมชอบโปรสเก็ตในตำนานคนหนึ่งจากแคลิฟอร์เนียชื่อ Daewon Song เขาคือไอดอลของผมเลย  ผมอยากมีชื่อตัวเองติดอยู่บนสเก็ตบอร์ดอย่างเขาบ้าง แต่นั่นแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะผมเป็นแค่เด็กอายุ 13 อยู่ฝรั่งเศส แถมไม่มีเงินด้วย 20 ปีต่อมา คุณรู้ไหม ผมได้รับข้อเสนอให้เป็นคนดีไซน์สเก็ตบอร์ดของเขา…

ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณต้องอาศัยคอนเน็กชั่นมากมาย ถึงจะเข้าวงการใดสักวงการหนึ่งได้ แต่ตอนนี้ผมบอกพวกเขาว่า ถ้ามีอินเตอร์เน็ตอยู่ในมือ มา! โชว์ให้ผมเห็นว่าคุณทำอะไรได้  

คนอาจบอกว่าผมโชคดี แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผมต้องเคี่ยวกับมันแค่ไหน เขาไม่รู้หรอกว่า ผมโดนปิดประตูใส่หน้า โดนปฏิเสธงานมาตั้งเท่าไร แต่การโดนปฏิเสธสำหรับผมมันก็มีข้อดี เหมือนเป็นการบอกตัวเองว่า ‘มึงต้องทำงานหนักกว่าเดิมแล้วว่ะ’

อะไรที่ทำให้คุณยังเก็บรักษาความเป็นเด็กในตัวเองเอาไว้ได้
บางคนตกใจนะที่รู้ว่าผมอายุ 36 แล้ว เขานึกว่ายังเด็กมาก ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเวลาคนดูงานผม เขามักจะบอกว่าเหมือนเด็ก 6 ขวบวาดเลย (หัวเราะ) แม้แต่ภรรยาผมยังบอกเลยว่าผมเป็นเด็กตลอดเวลา นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมเด็กๆ ถึงชอบเข้าหาผม เขาคงรู้สึกเหมือนได้คุยกับเพื่อนมั้ง

ผมว่ามันสำคัญนะที่คนเราควรมีเด็กที่ไม่รู้จักโตอยู่ข้างในตัวเสมอ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร

I’m serious with my work but in my mind, I’m crazy young!

แวะชมผลงานของลูกาส์ โบว์ฟอร์ท ได้ที่
เดอะแพนทรี่ (The Pantry)
ชั้น 2 โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพ (W Bangkok)
เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 12.00–22.30 น.

www.facebook.com/wbangkok
www.wbangkok.com