ในยุคที่ความสุขฝืดเคือง นานาปัญหาแบบปุถุชนต่อคิวเล่นงานจนแทบไม่ได้พักหายใจหายคอ ไม่ต้องอะไรมาก การแค่จะประคองชีวิตไม่ให้ทุกข์โศกก็ดูจะยากเย็นเต็มที แต่หากมีใครสักคนบอกกับเราว่า ‘เห้ย! Just Have Fun with It’ แถมยังยืนยิ้มให้โลกอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาคนนั้นอาจถูกตราหน้าว่าไม่ ‘บ้า’ ก็ ‘โลกสวย’ ไปโดยปริยาย
“ร้อนไหม นั่งก่อน เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้ หยิบน้ำในตู้กินได้เลยนะ” บ่ายวันที่อากาศร้อนแทบเสียสติ ชายในเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มซ้อนทับด้วยสเวตเตอร์สีเทาอีกชั้นหนึ่งถกแขนเสื้อขึ้นพลางถามไถ่เราอย่างเป็นกันเอง (จนเราต้องถามกลับว่า ‘ร้อนไหม’ ด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน) เขาคือเจ้าของสำเนียงซื่อๆ และน้ำเสียงฟังสบายเคล้าดนตรี Surf Music เรียบง่าย ขณะเดียวกันก็ลึกซึ้งจนอาจทำเอาน้ำตาร่วงได้หากไม่ทันตั้งตัว มีภาพจำเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดีไม่ว่าชีวิตจะล้มลุกคลุกคลานหรือโลกจะด้านเทาสักแค่ไหน มันทำให้เราสงสัยเหลือเกินว่าสมองภายใต้หมวกสานของผู้ชายชื่อ ‘สิงโต นำโชค’ คนนี้บรรจุระบบปฏิบัติการแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร
ทำไมเรามักจะพบโลกด้านบวกในเพลงของสิงโต นำโชค ?
เพลงก็เหมือนนิสัยเรา คือการเอาเรื่องสักเรื่องมาเล่าผ่านวิธีคิดของตัวเอง จากเด็กจนโตขึ้นมาเป็นอย่างไรมันก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ตอนเด็กๆ ชีวิตผมอาจลำบากนิดหนึ่ง ถ้าช่วงไหนมันแย่มากหน่อย ผมก็จะลองมองหาสิ่งดีๆ ในความแย่นั้น เพราะผมเป็นคนคิดแบบนี้ เพลงที่ออกมาจึงค่อนข้างบวก เรื่องเดียวกันแต่ผ่านมุมมองคนละอย่างก็ออกมาไม่เหมือนกันแล้ว
เหมือนเวลาได้กีตาร์มาตัวหนึ่ง เล่นแล้วเจ็บมือมาก มีวิธีคิด 2 แบบคือ ‘ทำไมกีตาร์มันห่วยจังเลยวะ’ กับ ‘เห้ย มันต้องฝึก ฝึกจนมือด้าน ต่อไปจะเล่นกีตาร์ตัวไหนในโลกก็ได้หมด’ ถ้าหาความสุขวันนี้ไม่เจอ วันไหนก็ไม่เจอ ต้องเริ่มจากวันนี้ก่อน ถ้าวันนี้คุณกำลังทุกข์มาก อย่ามัวแต่นั่งรอว่าวันไหนจะมีความสุข ทำไมไม่เริ่มฝึกหามันตั้งแต่วันนี้ล่ะ
ใช้เวลาเคี่ยวกับมันมากน้อยแค่ไหนกว่าจะออกมาเป็นเพลงสักหนึ่งเพลง ?
ผมใช้เวลาแต่งเพลงไม่นานเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่าไอเดียจะโผล่มาตอนไหน มักจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่รู้สึกอยากเล่าในตอนนั้น อาจเป็นเรื่องตัวเองหรือเรื่องของคนอื่น แล้วต้องเอามาเล่าเป็นเพลงได้ด้วย เพราะบางอย่างเล่าเป็นเพลงยาก แล้วแต่คน แล้วแต่ประสบการณ์ที่เจอมา อย่างบ๊อบ ดีแลน เคยบอกว่าเรื่องเขาเองไม่เห็นน่าสนใจตรงไหนเลย จึงไปแต่งเพลงจากเรื่องอื่นของคนอื่นแทน แบบนั้นก็ได้เหมือนกัน
ทฤษฎีของคุณคืออะไร ?
สำหรับผม ภาษาของบางคนอาจไม่เหมือนภาษาเรา บางคนร้องบิดโน้ตแล้วเท่ บางคนร้องไม่ชัดแล้วกลายเป็นสไตล์ แต่ทำไมพอผมร้องแล้วกลายเป็นร้องไม่ชัดไป เลยพยายามเขียนเพลงที่เข้ากับวิธีการร้องของตัวเอง ซึ่งข้อดีของการเขียนเพลงเองคือเลือกได้ว่าจะไปในทิศทางไหน ไม่ใช่ว่าคนอื่นเขียนให้ไม่ดีนะ แต่บางทีเอาไปร้องแล้วมันไม่เข้าปาก ทุกวันนี้ก็ยังเขียนเพลงเอง อยู่ แต่ได้พี่ตั้ม โมโนโทน (สถาปัตย์ ธีรนิตยภาพ) และพี่ Kijjazz (กิจจาศักดิ์ ตริยานนท์) มาช่วยด้วย แล้วผมจะเป็นคนดูว่าอันไหนใช่ตัวผมที่สุด ผมว่าเวลาคนเราอยากเล่าอะไร มันไม่ต้องมี ทฤษฎีหรือมีข้อมูลอะไรมากมายหรอก รู้สึกอย่างไรก็แค่เล่าไปตรงๆ ไม่ต้องมีภาษาซับซ้อน พิสดาร แค่เขาเข้าใจความหมายที่เราจะสื่อก็พอแล้ว
ศิลปินไทยน้อยคนที่จะมีโอกาสได้ไปเล่นดนตรีและให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ BBC ประเทศอังกฤษอย่างที่คุณทำ คาดหวังกับโปรเจ็กต์นั้นมากน้อยแค่ไหน ?
มันเริ่มจากตอนนั้นผมเอาเพลงไทยไปเล่นที่ฮาวายแล้วแปลจากเนื้อภาษาไทยเป็นเนื้อภาษาอังกฤษออกมาเป็นอัลบั้ม Sticky Rice พอมีโอกาสให้ลองทำผมก็ทำ เพราะไม่รู้ว่าจะไม่ทำเพราะอะไร ความยากมีอยู่แล้ว อย่างเรื่องภาษาอังกฤษ แต่ผมไม่ได้มองว่ามันไกลเกินเอื้อมขนาดนั้น อีกอย่างผมไม่ได้ไปสู้กับใครนอกจากสู้กับตัวเอง ทำดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ตอนนั้นก็พอ เดี๋ยวนี้โลกใกล้กันมากขึ้น แค่ทำงานเพลงที่เป็นตัวเราสักชิ้น และหากแต่งเป็นภาษากลางให้คนอื่นเข้าใจด้วยก็ยิ่งดี ถ้าถามว่าไปต่อได้ไหม ได้อยู่แล้วละ เพราะเราอยากทำ ค่ายเองก็อยากให้เราทำ องค์ประกอบทุกอย่างค่อนข้างครบ ส่วนเรื่องฟีดแบ็กจะเป็นอย่างไร เพลงจะฮิตไหม อันนั้นเกินความคาดเดาของผมแล้ว ไม่ต้องดูไปถึงอังกฤษหรอก ในบ้านเราบางครั้งปล่อยเพลงออกมายังเงียบกริบเลย อยู่ที่ว่าเราจะยังฮึดทำต่อไปหรือจะหยุดแค่นั้น
ความคาดหวังจากแฟนเพลงหรือคนรอบข้างมีผลกับตัวตนของคุณไหม ?
ไอ้เรื่องความคาดหวังนี่อาจเป็นสิ่งที่คิดไปเองนะ ผมว่าไม่มีใครมานั่งคิดอะไรหรอก เขาฟังเพลงจบก็จบ ถ้าชอบก็ดาวน์โหลด ถ้าไม่ชอบก็กลับไปทำงานทำการของเขา ไปขายก๋วยเตี๋ยว ไปเป็นสถาปนิกหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือบางทีเพลงผมอาจไม่ถูกจริตเขาในช่วงนั้น ผมไม่ได้กดดันอะไร ไม่มีใครมาคาดหวังขนาดนั้น ไม่ต้องอะไรมาก สมมติว่าคุณมีเพลงฮิตสัก 10 เพลงในอัลบั้ม ไปที่ไหนเขาก็เปิดเพลงคุณทั้งวันทั้งคืน เห้ย คุณไม่อ้วกบ้างเหรอ (หัวเราะ) เพลงบางเพลงอาจไม่ได้ฮิต แต่มันมีความหมายอยู่ในนั้น และอาจไปอยู่ในซอกหลืบของเพลย์ลิสต์ใครบางคนก็ได้
รับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ?
สมมติว่าเขาด่าผม เขาไม่ได้ด่าผมหรอก เขาด่าสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเขา เป็นสิ่งที่เขาคิดว่าผมเป็น ทั้งที่จริงๆ แล้วผมอาจไม่ได้เป็น ผมก็อ่านคอมเม้นต์ในโซเชียลฯ บ้างเหมือนกัน เพราะถ้าชีวิตไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยก็คงอยู่ยาก ต้องออกไปเจอบ้างเพื่อกลับมาฝึกวิธีคิด แต่ต้องไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น
ถ้ามีคนถามว่าทุกวันนี้คุณประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง คุณจะตอบว่าอย่างไร ?
โอ้โห…ประสบความสำเร็จตั้งแต่เล่นดนตรี มีสตางค์กินข้าว หาเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวได้แล้วละ ผมเองก็ตั้งเป้าหมายไว้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เอาความสุขไปแขวนตรงนั้น ผมแขวนไว้กับปัจจุบัน ทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะผมทำอะไรไม่เป็นนอกจากเล่นดนตรี (หัวเราะ) บางทีมันมีแค่เส้นบางๆ ระหว่างความสำเร็จกับความโลภเหมือนกัน ถ้าผมเกิดอยากดังเท่า The Beatles อย่างนี้ก็ฉิบหายเลยนะ (หัวเราะ) สิ่งที่ผมจะบอกคือ อยู่ที่ว่าคุณให้ค่าความสำเร็จของตัวเองไว้ตรงไหน ทำเพลงออกมามันต้องมีคนฟังบ้างละ ไม่ว่าจะฟังสิบคนหรือฟังร้อยคน ถ้าสิบคนนั้นเขามีความสุขที่จะฟังเพลงผม ผมก็พอใจแล้ว
อะไรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ชายชื่อสิงโต นำโชคยังคงเล่นดนตรีต่อไป ?
ทุกวันนี้ผมยังพัฒนาตัวเองตลอด แต่ไม่ได้พัฒนาเพื่อจะไปแข่งขันอะไรกับใคร หรือจะเป็น ฮีโร่ให้คนรุ่นหลังอะไรขนาดนั้น มันฟังดูยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับผม แค่รู้ว่าชีวิตยังมีแรงทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง รู้ว่าพรุ่งนี้อยากตื่นมาทำอะไร อยากทำเพลงแบบไหน แค่นั้นเอง (ยิ้ม)
Writer: Wednesday Adam
RECOMMENDED CONTENT
Netflix ผู้นำบริการสตรีมมิงความบันเทิงระดับโลก ประกาศฉายภาพยนตร์ไต้หวันเรื่อง Your Name Engraved Herein (ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนว LGBTQ ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของไต้หวัน