The Godfather Part II (1974)
เวลาเราดูหนังแนวเเก๊งสเตอร์อิตาเลียนอย่าง Good Fellas, God Father หรือ Bosalino ความเท่ของบรรดาผู้ชายในหนัง นอกจากมือที่คีบซิการ์ตลอดเวลาแล้ว อย่างหนึ่งที่เราชอบคือเขาจะมีชุดสูทตัวเก่งอย่างน้อยคนละ 1 ที่ไม่ว่าต้องขึ้นรถ ลงเรือ วิ่งหนีสุดชีวิต หรือยิงไล่ล่ากันทั้งเมือง มันก็ยังคงเป็นสูทเนี๊ยบกริบตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ดีแทบไม่มีรอยยับ เป็นความน่าประทับใจพร้อมกับชวนสงสัยมาตลอดว่าคนที่ตัดเย็บหรือออกแบบชุดสูทพวกนั้นเขาทำได้ยังไง เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงแค่เสื้อผ้า แต่มันยังเป็นภาพจำ เป็นเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคม และวิถีชีวิตของเขาด้วย
คุณตอง – ลภัส เมฆรักษาวณิช ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ ก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในสไตล์อิตาเลียนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ความชื่นชอบในสูทอิตาเลียนเริ่มต้นจากการที่เขาไปเรียนด้านโปรดักดีไซน์ที่ประเทศอิตาลี จากนั้นก็ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัฒธรรมของคนที่นั่น เขาสนใจในเสื้อผ้าสุภาพรุษที่ตัดเย็บอย่างประณีตทุกชิ้นแบบ ซาโทเรียล (Sartorial) จนกระทั่งมีโอกาสได้เรียนรู้งานจากบรรดาช่างฝีมือระดับโลกที่ทำสูทแบบแฮนด์เมดมาอย่างยาวนานที่นั่น เขาเก็บความชอบนั้นกลับมาเมืองไทย จนกระทั่งกลายมาเป็น The Somchai (เดอะ สมชาย) ร้านสูทย่านทองหล่อที่หยิบความพิถีพิถันของสื้อผ้าบุรุษอิตาเลียนแบบที่เราเห็นในหนัง นำมาให้คนไทยได้รู้จักกันมากขึ้น
การเดินทางของสูท
คุณตองเล่าให้เราฟังว่า สูทเกิดขึ้นในฝั่งประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19 ก่อนจะแผ่ขยายอิทธิพลมายังประเทศอิตาลี โดยเริ่มแรกเดินทางมายังเมืองเนเปิลส์ (Naples) บรรดาคนชั้นสูงผู้ดีมีอันจะกินชาวอังกฤษมักจะนั่งเรือไปเที่ยวพักร้อนที่นั่น ช่างฝีมือท้องถิ่นแอบสังเกตและได้นำรูปแบบของสูทอังกฤษที่แต่เดิมมีความเทอะทะ เหมือนรูปแบบของชุดเกราะ หรือชุดทหารซึ่งมีแผ่นเสริมไหล่ (Shoulder Pad) หนาเตอะ นำมาถอดส่วนที่ไม่จำเป็นออก เหตุผลหนึ่งเพราะด้วยสภาพอากาศของเมือง Naples ที่ค่อนข้างร้อน ช่างตัดสูทจึงพยายามปรับเปลี่ยนให้สูทดั้งเดิมแบบอังกฤษสามารถสวมใส่ได้พอดีกับอากาศร้อนๆ ที่เมือง Naples ได้ ทำให้สูทของอิตาเลียนมีลักษณะเฉพาะที่ค่อนข้างเบาและแนบไปกับตัว จากจุดเริ่มที่เมืองเนเปิลส์ สูทอิตาเลียนก็ได้เดินทางไปทั่วอิตาลี
โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำ ตามมาด้วยปัญหาความยากจน คนจึงเข้าไปเรียนฝึกวิชาชีพกัน ทำให้มีช่างฝีมือเกิดขึ้นจำนวนมากในอิตาลี เพราะการเป็นช่างฝีมือไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมากมายนอกจากความชำนาญด้านงานช่าง ซึ่งช่างฝีมือที่ชำนาญการตัดเย็บสูทที่อายุเยอะที่สุดในอิตาลีเวลานี้ก็เป็นรุ่นคุณปู่อายุไม่ต่ำกว่า 80 กันแล้ว
The Godfather Part II (1974)
Classic Menswear ในโลกฝั่งตะวันออก
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสของ Classic Menswear เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในเอเชีย และเริ่มกลายเป็นวัฒนธรรมที่แข็งแรงมากในโดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไปจนถึงเกาหลีใต้
“ร้านสูทอิตาเลียนมีอยู่ในญี่ปุ่นมานานแล้ว คนญี่ปุ่นจำนวนมากเดินทางไปเรียนงานช่างฝีมือตัดเย็บสูทในอิตาลี เขาชื่นชอบวัฒนธรรมอิตาเลียนมากๆ อาจเป็นเพราะเขามีเเพชชั่นเรื่อง Craftmanship บางอย่างคล้ายกัน ลิเวอราโน่ เอ ลิเวอราโน่ (Liverano & Liverano) คือแบรนด์สูทอิตาเลียนที่สร้างรากฐานมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปีแล้วในญี่ปุ่น
พอมาถึงเมืองไทย เรานำเสนอในแง่มุมที่เหมาะกับประเทศไทย ด้วยความที่เป็นเมืองร้อน โจทย์ของเราไม่ใช่ทำยังไงให้ผ้าบางที่สุด แต่มันคือการทำยังไงให้ระบายอากาศได้ดีที่สุดด้วยเทคนิคการตัดเย็บ”
สง่างามแบบฟลอเรนซ์ (Florence) เฉียบแบบเนเปิลส์ (Naples)
“เราสนใจเรื่องวัฒนธรรมที่มันสะท้อนมาสู่งานฝีมือ ‘Culture influences craftmanship’ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร กาแฟ งานศิลปะ หรือสถาปัตยกรรม ล้วนมีผลกับงานฝีมือของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะที่เมืองเนเปิลส์ ซึ่งรูปแบบสถาปัตยกรรมจะมีความดิบ ตรงไปตรงมาแบบบาโร๊ค (Baroque) สูทสไตล์เนเปิลส์ที่เพิ่งถูกปรับจากสูทอังกฤษดั้งเดิมจะมีความแมนๆ มันๆ เชปจะค่อนข้างคมหน่อย ในขณะที่สูทสไตล์ฟลอเรนซ์จะค่อนข้างสวยงาม หรูหรา มีความเรอเนซองส์ (Renaissance) เหมือนกับสถาปัตยกรรมของเขา ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบแบบไหน และโอกาสแบบไหนที่จะใช้มากกว่า”
แบรนด์สูทเก่าแก่จากเมืองฟลอเรนซ์อย่าง Liverano & Liverano เป็นหนึ่งในลิสต์แบรนด์ที่ดีที่สุดในโลกและเป็นสูทอิตาเลียนแบรนด์แรกที่ The Somchai เลือกทำงานด้วย จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 10 ปีแล้ว
“เจ้าของ Liverano & Liverano คือ Antonio Liverano เขาเป็นคนที่มีสไตล์ดี มากับฝีมือที่ดีระดับโลกคนหนึ่งเลย ซึ่งจะต่างกับช่างยุคนี้ที่อาจจะฝีมือดี แต่สไตล์ไม่ได้ ผมเชื่อในฝีมือของเขา และได้เรียนรู้จากเเบรนด์นี้เยอะมาก ทั้งวิธีคิด ทั้งวิธีการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา”
จะตัดสูทสักตัวที่ The Somchai ต้องรู้อะไรบ้าง
ที่ The Somchai จะมีสูทจาก 2 แบรนด์ระดับโลก นั่นก็คือสูทจากเนเปิลส์ ออราซิโอ้ ลูชิอาโน่ (Orazio Luciano) ซึ่งมีให้เลือกตามความต้องการทั้งแบบสำเร็จรูปพร้อมใส่ หรือ RTW (Ready to wear) กับแบบ MTM (Made to Measure) หรือที่เรียกว่า ‘วัดตัวตัด’ โดยทางร้านจะมีแพทเทิร์นมาเป็นโครงสูทให้อยู่แล้ว แต่จะมีบริการปรับขนาด วัดตัวให้พอดีกับลูกค้า และสามารถเลือกรายละเอียดบางอย่าง เช่น เนื้อผ้า คอปก หรือรูปทรงของสูทได้ โดยเเจ๊กเก็ตของ Orazio Luciano ราคาเริ่มต้นที่ 85,000-90,000 บาท และสูท-กางเกงอยู่ที่ 112,000 บาท ส่วนเเบรนด์สุดประณีตฝั่งฟลอเรนซ์ Liverano & Liverano จะมีทั้ง RTW, MTM และการสั่งตัดขึ้นมาใหม่แบบที่เรียกว่า ‘Bespoke’ ซึ่งการตัดสูดแบบ Bespoke นี้ทางร้านจะมีช่างบินมาจากอิตาลีปีละ 3-4 ครั้ง การตัดสูทแบบ Bespoke ครั้งแรกจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10-12 เดือน ขั้นตอนเริ่มตั้งแต่คุยกับช่าง วัดตัว ไปจนถึงการเลือกผ้าและรายละเอียดต่างๆ ซึ่ง 10-12 เดือนนั้น คุณอาจต้องมีน้ำหนักหรือรูปร่างที่บวกลบไม่เกินไปกว่า 5 กิโลกรัม เพราะหากใครที่รูปร่างเปลี่ยนมากกว่านั้น ทางร้านจะไม่แนะนำให้ตัด
ความพิเศษของ Bespoke คือเวลาที่ช่างบินมาทีหนึ่ง จะมาพร้อมผ้าตัวอย่างของซีซั่นนั้นๆ ด้วย เช่น ผ้าวินเทจที่ตอนนี้อาจไม่ได้ผลิตแล้ว รวมทั้งผ้า Rare Item ต่างๆ ลูกค้าที่ชื่นชอบหรือมองหาผ้าแปลกๆ ไม่เหมือนใครก็สามารถมาที่ร้านได้ในช่วงเวลานั้น
สำหรับ Liverano & Liverano จากฟลอเรนซ์ ราคาเเจ๊กเก็ตเริ่มต้นที่ 120,000 บาท ส่วน Bespoke แจ๊กเก็ตอย่างเดียวจะเริ่มที่ 195,000 บาท ขณะที่สูท-กางเกง จะอยู่ที่ 250,000 บาท ทางร้านบอกว่าความแตกต่างของผ้านั้นราคาจะต่างกันนิดเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น หมดห่วงเรื่องผ้าไปได้เลย ทางร้านเลือกใช้ผ้าคุณภาพดีทั้งหมดอยู่แล้ว
Liverano & Liverano ยังมีเเจ๊คเก็ต เสื้อเชิ้ต และเน็คไทที่สามารถสั่งตัดแบบ Bespoke ได้เช่นกัน โดยเสื้อเชิ้ตจะมีทั้งแบรนด์ Liverano & Liverano และแบรนด์ ฟินามอเร่ (Finamore) ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12,900 บาท
สิ่งที่ทำให้ราคาสูทของฝั่งเนเปิลส์กับฝั่งฟลอเรนซ์แตกต่างกัน คุณตองให้เหตุผลว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Positioning ของแต่ละแบรนด์ที่สั่งสมประสบการณ์มามากพอและยังรักษาความคราฟต์ไว้ได้ในทุกเม็ดนั่นเอง “คุณลุงที่เป็นเจ้าของแบรนด์ Liverano & Liverano ตอนนี้อายุ 80 กว่าแล้ว เขาทำมาตั้งแต่อายุ 14 ซึ่ง Liverano & Liverano เป็นหนึ่งใน 5 แบรนด์สูทระดับโลกที่ยังทำงานประณีตเสมอต้นเสมอปลาย รักษามาตรฐานเดิมมาจนถึงวันนี้ เขาทำงานกับสูทแบบ Bespoke มาตลอด เพิ่งจะมีแบบ RTW เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง อีกอย่างหนึ่งคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องของวงแขนกับคอปกเป็นอะไรที่ยากที่สุดในแจ๊กเก็ต 1 ตัว ต้องเป็นช่าง Head Tailor ที่มีประสบการณ์มากเท่านั้นถึงจะแก้ได้”
ความลับของสูทฟลอเรนซ์ คือการออกแบบมาให้วงแขนค่อนข้างกว้าง และรอบแขนกับรอบไหล่จะทำมาไม่เท่ากัน เป็นทริคที่ทำให้สูทอิตาเลียนใส่แล้วเราสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้ จะโลดโผนแค่ไหนก็ไม่หวั่น ใส่แล้วมั่นใจ ไม่ต้องมัวกังวลกับมัน ตอบคำถามที่ว่าทำไมพวกผู้ชายในหนังมาเฟียอิตาเลียน ใส่สูทเนี้ยบมากแต่ยังออกไปบู๊ได้นั่นเอง!
“ส่วน Orazio Luciano ตัวแบรนด์จะอายุน้อยกว่า และเริ่มจาก RTW กับ MTM เป็นหลัก สูท RTW 1 ตัว ทำมือสัก 70-80% จะมีจุดที่ยังไงก็ต้องทำมือ ใช้เครื่องจักรไม่ได้ อย่าง รังดุม ต้องใช้การเย็บด้วยมือเป็นหลัก แค่เฉพาะบางส่วนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มือ เขาก็จะใช้เครื่องเย็บ ส่วน Bespoke จะเป็นงานทำมือถึง 90% โดยใช้เครื่องแค่ส่วนที่จำเป็นต้องเน้นความแข็งแรงมากเป็นพิเศษเท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาของ Bespoke ค่อนข้างสูง แต่ความรู้สึกเวลาสวมใส่ คุณจะรู้สึกได้ว่ามันต่างกับสูทแบบ RTW”
วัฒธรรมการใส่สูทหรือแจ๊กเก็ตสำหรับผู้ชายไทยบ้านเราอาจถือว่ายังค่อนข้างใหม่ หลายคนอาจไม่คุ้นชินกับการใส่เสื้อผ้าหลายเลเยอร์ ด้วยปัจจัยทั้งสภาพอากาศ หรือปัจจัยเรื่องของราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับการจะสั่งตัดสักตัว ซึ่ง The Somchai เข้าใจและอยากให้คุณลอง ‘เปิดใจ’ ไปพร้อมกัน
“ถ้าถามผมนะ ผู้ชายไม่จำเป็นต้องใส่สูทตลอดเวลาหรอก อาจจะไม่จำเป็นสำหรับบางคน ผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะใช้มากกว่า แต่สำหรับฝั่งตะวันตก มันเป็นคัลเจอร์ที่มีมานานแล้วสำหรับเขา บางคนเขาจะรู้สึก ‘Feel Naked’ ไปเลยเวลาที่ไม่ได้ใส่เเจ๊กเก็ต เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา
“อย่างตอนที่ผมเริ่มทำ หุ้นส่วนของผมเองเขายังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสูทถึงราคาสูงขนาดนี้ เพราะตอนนั้นเราก็ยังไม่สามารถหามาได้ ก็จะมีความคิดว่าราคาขนาดนี้เอาไปซื้ออย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ ผมจึงพาเขาไปที่ฟลอเรนซ์ พอได้ลองใส่ปุ๊บเขาก็เข้าใจทันทีเลย ด้วยความที่ผมเรียนอยู่ที่นั่นเป็นสิบปี และยังมีโอกาสได้ทำแบรนด์กระเป๋าเอาขายไปที่งาน Pitti Uomo ผมเลยค่อนข้างชินกับคัลเจอร์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว นี่แหละครับจุดเริ่มต้นจริงๆ ของร้านนี้”
“เวลาลูกค้าเข้ามาซื้อกับเราหรือจะตัดกับเราสักตัว เรากับลูกค้าจะมี Relationship กันยาวนานมาก อย่างน้อยต้องเจอกันสัปดาห์ละครั้ง เริ่มจากต้องเข้ามาเลือกแบบ ต้องวัดตัว กว่าจะได้สักตัวบางทีขั้นตอนมันก็เยอะ ฉะนั้นคำถามแรกที่ผมจะถามลูกค้าคือ จำเป็นต้องใช้มั้ย ใช้บ่อยแค่ไหน เพราะเราอยากให้ลูกค้าใช้บ่อยๆ สูทอิตาลีถือว่าเป็น ‘Second Skin’ ยิ่งใส่บ่อยยิ่งสวย ใส่วันแรกกับอีก 2 สัปดาห์ต่อมาจะไม่เหมือนกันเลย เพราะทุกอย่างทำด้วยมือ มันจะถูกดึงจนเข้ากับตัวคนใส่ กลายเป็นเชปพอดีกับตัวเราไปเอง เหมือนอย่างกางเกงยีนส์ที่พอใส่ไปจะขึ้นลายเป็นเอกลักษณ์ของคนๆ นั้น หรืออย่างรองเท้า Birkenstock ที่ใส่แล้วจะเหมือนพิมพ์เป็นรูปเท้าเราเองเลย”
สูทตัวแรก… เริ่มตรงไหนก่อนดี
คุณตองบอกกับเราว่าทางร้าน The Somchai จะแนะนำให้กับหนุ่มๆ ที่อยากมีแจ๊กเก็ตตัวแรก อาจเริ่มจากสปอร์ตเเจ๊กเก็ตก่อน เพราะสปอร์ตเเจ็กเก็ตเป็นเบลเซอร์ที่เบสิกที่สุด ใส่ง่ายที่สุด ใส่กับกางเกงผ้าได้ ใส่กับยีนส์ก็ได้ แค่สวมทับเสื้อยืดธรรมดาก็ดูดีแล้ว ที่สำคัญมันค่อนข้างเข้าได้กับทุกโอกาส ไปทำงาน ไปประชุม หรือสวมทับเวลาไปกินข้าวตอนเย็น หลังจากนั้นทางร้านก็จะแนะนำเรื่องสี ถ้าเป็นสีเข้มหน่อย จะใส่ได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน
“บางทีลูกค้าเข้ามาแบบไม่รู้อะไรเลย อยากให้เราช่วยแนะนำ นั่นเป็นหน้าที่ของเรา และเราดีใจทุกครั้งที่ได้แนะนำเขา บางคนมาเป็นสิบรอบกว่าจะซื้อก็มี มีลูกค้าที่อยากมาดู หรือมาศึกษากับเรา ซึ่งเรายินดีมากๆ ครับ”
สไตล์ที่ดีของ Classic Menswear
“จริงๆ แล้วอยู่ที่โอกาสที่เราใส่นั่นแหละ และอยู่ที่ว่าเราอยากเป็น ‘ใคร’ ด้วย เช่น คนที่เขาเป็นทนาย ต้องอยู่ในศาล เขาอาจจะอยากให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจ ดูน่าเกรงขาม คนรับฟัง โดยที่เขาไม่ต้องตะโกนว่าตัวเองมีอำนาจ แต่แสดงออกผ่านการแต่งตัว สี รูปแบบ มันขึ้นอยู่กับบริบทนั้นๆ ด้วย เหมือนอาหารอร่อยหรือไม่อร่อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจริงไหมครับ”
ปรัชญาการทำร้านสูทที่ได้จาก Antonio Liverano
“มันคือทุกอย่าง ไม่ใช่แค่สูท แต่มันคือการใช้ชีวิต เขาพยายามบอกให้เรามองโลกกว้างขึ้น เพราะทุกอย่างมันสามารถอินสไปร์ได้หมด เวลาเราแต่งตัว มันเหมือนเป็นการสะท้อนชีวิตหรือความชอบของเราออกไปหมด
“สุดท้ายมันกลับมาที่เราว่าจะทำยังไงให้ลูกค้ามีความมั่นใจ แฮปปี้ แสดงออกความเป็นตัวเองผ่านการแต่งตัว ผ่านสูทของเขาได้อย่างเต็มที่ แล้วสุดท้ายมันก็ไม่ได้มีอะไรยาก ไม่มีอะไรซับซ้อน เราไม่อยากให้คนรู้สึกมีสเปซกับเราจนเกินไป
“ผมคิดว่าเสื้อผ้าเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ มิชชั่นหลักของเราคือทำยังไงให้คนมั่นใจกับเสื้อผ้าที่เขาใส่ ในวันที่เขาตัองใช้สูทตัวนั้น จะเป็นวันที่เขาไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องเสื้อผ้าอีกต่อไปแล้ว เพราะเราจะดูแลให้เองครับ”
At The Somchai, you will find :
-รองเท้า เซนต์ คริสปินส์ (Saint Crispin’s) แบรนด์รองเท้าสุดคราฟต์ไม่แพ้กันจากเวียนนา เป็นแบรนด์ที่ออกแบบโดยคิดจากความแตกต่างของหน้าเท้าระหว่างคนเอเชียกับฝรั่ง ทำให้คนไทยใส่เดินได้ทั้งวันโดยไม่มีปัญหา ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 60,000 บาท ซึ่งจะมีแบบ MTM สามารถเปลี่ยนหรือเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ ของรองเท้าตามต้องการได้ และหากใช้ไปแล้วมีปัญหา ก็ยังสามารถส่งกลับไปแก้หรือซ่อมได้โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1,000-10,000 บาท นอกจาก Saint Crispin’s เร็วๆ นี้ใครเป็นแฟนรองเท้าสุภาพบุรุษจากอังกฤษ ทางร้านกำลังจะมีรองเท้าแบรนด์ Edward Green มาเพิ่มเติมที่ร้านด้วย
-ความลับที่เจ้าของ The Somchai บอกเราคือเจ้าของแบรนด์ Liverano & Liverano ชอบรองเท้าฝั่งอังกฤษกับอเมริกันมาก ยิ่งสำหรับรองเท้าอเมริกันที่มีความมัสคิวลีน (Masculine) แมนๆ หน่อย พอมาผสมกันกับสูทอิตาเลียนที่มีความละมุนแล้วยิ่งลงตัวอย่าบอกใคร
-The Somchai ยังมีกางเกงจากแบรนด์อิตาเลียนที่เชี่ยวชาญเรื่องกางเกงโดยเฉพาะชื่อ อัมโบรซี่ นาโปลี (Ambrosi Napoli) มีทั้งแบบ RTW ราคาอยู่ที่ 29,000 บาท แบบ MTO (Made to Order) 33,000 บาท (เป็นการสั่งผลิตใหม่ตามไซส์ RTW โดยใช้ระยะเวลาผลิต 1-2 เดือน) และ Bespoke เริ่มต้นที่ 59,000 บาท ซึ่งเอ็กซ์คลูซีฟมากตรงที่คุณ Salvatore Ambrosi จะเดินทางมาวัดตัวด้วยตนเอง โดยจะต้องมีการ Fitting 1 ครั้ง ดังนั้นทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน)
-เน็กไทเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้การแต่งตัวสไตล์สุภาพบุรุษไม่น่าเบื่อ ที่ The Somchai ก็มีเน็กไทอิตาเลียนอยู่ด้วยกัน 3 แบรนด์ หนึ่งในนั้นเป็นของ Liverano & Liverano ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบผ้าไหมพรม (Knit) กับผ้าไหม (Silk) ที่ทางร้านบอกว่าผ้าไหมคุณภาพดีที่สุดตอนนี้อยู่ที่อิตาลี และช่างฝีมือดีที่สุดเวลานี้ก็ยังเป็นช่างอิตาเลียนเช่นกัน สำหรับในซีซั่นนี้แพทเทิร์นลายใหญ่กำลังมา คุณอาจต้องหาไว้สักเส้นสองเส้นแล้วแหละ!
-หากคุณมา The Somchai แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อสูทแบบไหนละก็ ยังมี Accesseries สำหรับหนุ่มๆ โน่นนั่นนี่ อย่างเเว่นตา หรือสร้อยข้อมือ ให้ลองเล่น ให้ช้อปฯ ไปพลางๆ ก่อนด้วย
The Somchai (เดอะ สมชาย)
ซอยทองหล่อ 11 (BTS ทองหล่อ) ตรงเข้าซอยไปประมาณ 50 เมตร ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ
เปิดทำการตั้งแต่เวลา : 10.30 – 19:00 น.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 081-915-3464
Facebook : https://www.facebook.com/TheSomchaiOfficial/
RECOMMENDED CONTENT
Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก เดินหน้าต่อยอดวิสัยทัศน์ในการจัดเก็บความทรงจำ ด้วยผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและจัดเก็บข้อมูล