Gary Gill มีประสบการณ์ในการเป็นช่างทำผมมานานกว่า 30 ปี และมีโอกาสได้ทำงานให้กับสไตล์ลิสในวงการแฟชั่นเป็นเวลา 15 ปี เขาได้ฝึกงานกับ Toni & Guy & Vidal Sassoon นอกจากความสามารถที่โดดเด่นแล้ว เขายังมีพรสวรรค์ทางการตัดผมอีกด้วย Gary ได้พัฒนาความรู้ด้านการสไตล์ทรงผมของเขามาใช้กับแฟชั่น เขาสามารถสร้างสไตล์ทรงผมทั้งของผู้หญิงและผู้ชายให้ออกมาโดดเด่นไม่เหมือนใคร Gary มีโอกาสได้ร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ทั้ง Balenciaga, JW Anderson, Fendi, Loewe, Jil Sander, Stella McCartney, Helmut Lang, Burberry, Acne, Missoni และอื่นๆ
Gary Gill หัวหน้าสไตล์ลิสต์งานแฟชั่นโชว์ AW19 ของแบรนด์ Vetements ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจของสไตล์ทรงผมยุค 90s ที่เขาได้นำมาใช้ และยังให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสไตล์ทรงผมในปี 2019
ธีมของโชว์ในปีนี้คืออะไร?
ในปีนี้จะมีกลิ่นอายของความมืดผสมกับอิทธิพลของพังก์ด้วย ลองนึกภาพพวกนักสเก็ตบอร์ด กรันจ์ ในยุค 90s และยังมีกลิ่นอายของพวกกอทผสมอยู่นิดหน่อย เราได้รวบรวมอิทธิพลและสไตล์ของคนกลุ่มเหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ้งฉันเคยใช้ชีวิตโดยมีวัฒนธรรมเหล่านี้ล้อมรอบ และมันก็รู้สึกดีที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้รอบตัวเราอีกครั้ง
ช่วยบรรยายเกี่ยวกับทรงผมได้หรือไม่
ในคอลเลคชั่นนี้ แรงบันดาลใจของทรงผมส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากสไตล์พังก์ พวกนักสเก็ตบอร์ด พังก์ โกธิค-พังก์ ผสมผสานกลิ่นอายของกรันจ์ด้วย สำหรับฉันแล้วมันคือการสร้างทัศนคติที่แข็งแกร่ง ฉันชอบให้สไตล์ทรงผมที่ฉันออกแบบมีดูมีทัศนคติ เรามีแบบสีผมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบ bold cuts หรือ natural textures
ได้ร่วมงานกับโชว์ของ Vetements รู้สึกอย่างไรบ้าง
ฉันรู้สึกตื่นเต้นเสมอที่จะได้ร่วมงานกับโชว์ของ Vetements และ Demna ทีมทุกคนทำงานได้ดีมาก นักออกแบบก็เก่งและมีฝีมือ ส่วน Demna นั้นก็เป็นคนที่ฉลาดมากในสายตาของฉัน เขาสามารถสื่อความคิดของลุคทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ส่วนเรื่อง casting นั้นก็โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเหมาะสมกับสไตล์ของฉันเป็นอย่างมาก
คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสไตล์ทรงผมในปี 2018
ฉันไม่คิดว่าเทรนด์ทรงผมนั้นถูกเซ็ทไว้ในช่วงหลังๆนี้ เทรนด์ต่างๆนั้นหายไปและหวนกลับมาตามกาลเวลา การเปลี่ยนสไตล์ทรงผมใหม่ๆนั้นเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอยู่สม่ำเสมอ มันทำให้เราเหล่าช่างผมสนุกและท้าทายกับการทำงานกับคนที่มีสไตล์แตกต่างกัน ซึ่งสำหรับฉันแล้วฉันไม่ค่อยชอบสไตล์ cookie cutter และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันชอบที่จะร่วมงานกับ Vetements เพราะพวกเขาสามารถนำเสนอมุมมองในหลากหลายสไตล์
สำหรับโชว์นี้ เราได้สไตล์ blunt bobs บวกกับองค์ประกอบของ undercutting วิธีนี้สามารถลดปัญหาเรื่องน้ำหนักที่ทำให้ผมเรียบแป้ช่วงบน แต่ยังคงรักษาระดับความแข็งแรงช่วงด้านหน้าและความอ่อนช่วงด้านหลังได้ สไตล์ blunt fringes ก็เป็นที่นิยมมากเช่นกัน เราจะเห็นได้บ่อยในยุค 90s ซึ่งเราก็นำมาปรับเปลี่ยนนิดหน่อยโดยการสไตล์ให้มันดูกระจายๆ โดยในยุค 90s นั้นจะมีความ smoothed out มากกว่า
หากพูดถึงสไตล์การออกแบบทรงผมของฉันในช่วงนี้จะค่อนข้าง cross-gender ซึ่งเป็นสไตล์ที่ฉันชอบมาก ฉันค่อนข้างสนใจในเรื่องความผสมผสานระว่างเพศหญิงและเพศชาย ฉันคิดว่าเราจะเห็นสไตล์นี้ได้บ่อยขึ้นในช่วงปี 2019 นี้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้หญิงดูเป็นเพศที่มีพลังมากขึ้นเพราะพวกเขาสามารถที่จะเลือกสไตล์ทรงผมที่เขาต้องการทำ
คุณติดตามเทรนด์ต่างๆได้อย่างไร
ฉันพยายามที่จะไม่โฟกัสสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวฉัน เมื่อตอนฉันเด็กๆ ฉันมักจะหมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาสไตล์อยู่แบบเดียว ณ ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองสามารถทำงานเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยอิงจากความรู้สึกของตนเป็นหลัก
เมื่อฉันได้ออกแบบสไตล์ทรงผม อย่างเช่นที่ฉันทำงานร่วมกับ Vetements ในซีซั่นนี้ ฉันกับ Demna ใช้เวลาร่วมกันในการหารือเกี่ยวกับลุดและแรงบัลดาลใจต่างๆของเขา โดยแรงบันดาลในของคอลเลคชั่นนี้ค่อนข้างจะแข็งแกร่งและมีความเป็นตัวเองสูง ซึ่งมันสำคัญมากที่ฉันจะต้องเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่ฉันจะสามารถออกแบบสไตล์ให้ไปในทิศทางเดียวกันกับความต้องการของดีไซเนอร์ และฉันก็ได้เห็นว่างานของฉันนั้นพัฒนาได้ดีขึ้นจากประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้
อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในปี 2018 ของคุณ
ฉันได้เป็นบรรณาธิการด้านความงามของนิตยสาร Dazed & Confused มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับตัวฉันในปีนี้ นอกจากนี้ฉันยังได้มีโอกาสทำอาร์ทโปรเจคชิ้นใหญ่ด้วยการรวบรวมแสดงผลงานต่างๆที่ฉันได้ทำในปีผ่านๆมา ซึ่งงานแสดงจะจัดขึ้นในปี 2019 นี้ มันเหมือนฝันที่กลายเป็นจริงของฉัน
หากพูดถึงผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทำผมต่างๆ คุณจะเลือกใช้อะไรเป็นส่วนมาก
ฉันจะใช้หวีในการสไตล์แบบ diffusing เพื่อให้ได้ทรงผมที่ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งฉันจะสไตล์แบบ diffused drying ค่อนข้างบ่อยด้วยการใช้ heavy conditioners วิธีนี้สามารถสร้าง texture ได้ดี ซึ่งฉันชอบมาก นอกจากนี้มันยังช่วยสร้าง volume ได้อีกด้วย โดยฉันจะใช้ไดร์เป่าผม Dyson Supersonic รุ่น professional edition ในการเป่าแห้งเท่านั้น เพราะตัว diffuser ของเค้านั้นดีมาก นอกเหนือจากการใช้ตัว diffuser แล้ว ฉันจะใช้ผลิตภัณฑ์ Aveda ‘Be Curly’ enhancer เสมอ ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ oil ที่ดี สามารถทำให้ผมที่ม้วนดูสวยและมีน้ำหนัก หากฉันไม่มีผลิตภัณฑ์ ‘Ocean Spritz’ โดย Wella professionals ฉันคงแย่ เพราะผลิตภัณฑ์นี้ดีมากสำหรับการใช้เพื่อเพิ่ม volume ยกโคน และทำให้ผมดูมีน้ำหนัก
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ Oribe texture spray นั้นก็ดีมากๆเช่นกัน ซึ่งมันมีทั้งในรูปแบบ wet และ dry ใช้ได้ดีมากในการสร้าง volume และ texture สามารถจัดแต่งสไตล์ให้อยู่ทรงอย่างสวยงาม ส่วนเรื่องข้อดีและความแตกต่างในการใช้ตัว diffuser ของ Dyson คือการที่ตัวอุปกรณ์ต่างๆได้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อใช้กับไดร์ตัวนี้ แรงลมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสไตล์และสร้าง texture ที่เป็นธรรมชาติให้กับทรงผม ซึ่งไดร์ตัวอื่นๆจะตั้งซื้อหัว diffuser แยกต่างหาก
คุณมีข้อแนะนำอะไรบ้างในการใช้สเปรย์ texture
ข้อผิดพลาดหลักๆที่หลายคนมักเข้าใจผิดคือขึ้นตอนในการใส่สเปรย์ (application) ซึ่งมันจะต้องแบ่งช่อผมให้ถูกวิธี ต้องให้ผมมีความชื้นที่เท่ากันและไม่เปียกชุ่มจนเกินไป ใช้ผลิตภัณฑ์แบบทีละน้อยๆ ไม่ควรใส่เยอะเกิน จากนั้นให้กระจายด้วยการใช้หวีแปรงแบบ tooth comb ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความกว้างของฟันแปรง หากใช้แปรงที่มีฟันที่กว้างก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ใส่ไปมี tension น้อย พยายามหลีกเลี่ยงการแปรงแบบ stretching ที่จะทำให้ผมเสียความดูเป็นธรรมชาติ
เครื่องมือที่ใช้นั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานของคุณ เราควรที่จะลงทุนกับสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้นโดยการใช้ของที่มีคุณภาพใช่หรือไม่
การใช้เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากการทำให้เส้นผมเสียจะส่งผมให้เราสไตล์ทรงผมครั้งต่อไปได้ยากขึ้น ทำให้ได้ลุคที่ไม่ตรงกับที่ต้องการ เราต้องการที่จะทำทรงผมออกมาให้ดูดีที่สุด ซึ่งความเสียหายของเส้นผมที่เกิดจากความร้อนนั้นเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้น การที่เราเลือกใช้อุปกรณ์ที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายจากความร้อนนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ Dyson Supersonic เป็นไดร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมเกิดความเสียหายจากความร้อนสูง
RECOMMENDED CONTENT
การ์มิน เปิดตัวแคมเปญ “FROM ZERO TO HERO” ปลุกสปิริตให้คนไทยในช่วงเวลาที่หมดไฟ ให้สามารถเดินหน้าพิชิตเป้าหมายก่อนปิดปี 64