วันเดอร์ฟรุ๊ต เฟสติวัลระดับโลกโดยคนไทยที่เฉลิมฉลองความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ลงตัวในด้านศิลปะ ดนตรีและไลฟ์สไตล์ได้พาทุกคนไปเปิดประสบการณ์ใหม่เป็นครั้งที่ 3 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยตลอด 4 วันที่เดอะฟิลด์ แอท สยามคันทรีคลับ พัทยาได้ต้อนรับเหล่าวันเดอเรอร์กว่า 10,000 ชีวิตจากหลากหลายประเทศที่มารวมตัวกัน ทำให้วันเดอร์ฟรุ๊ตในปีนี้กลายเป็นศูนย์รวมของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในการเฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ ศิลปะ ดนตรี และอื่นๆอีกมากมาย
“สิ่งที่ทำให้วันเดอร์ฟรุ๊ตแตกต่างจากเฟสติวัลอื่นๆ คือความคิดริเริ่มในการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ เฟสติวัลที่มีความยั่งยืน ด้วยการใช้ศิลปะทุกแขนงเป็นสื่อกลาง เราไม่ได้เป็นเฟสติวัลที่เอาความสนุกเป็นที่ตั้ง แต่เป็นเฟสติวัลที่เกิดขึ้นเพื่อเน้นย้ำและสร้างสรรค์ความยั่งยืนอย่างแท้จริง” พีท – ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟ วันเดอร์ฟรุ๊ตกล่าว “เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นขับเคลื่อนด้วยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยคำพูด ดังนั้นในปีนี้ นอกเหนือจากการเดินหน้าให้เหล่าวันเดอเรอร์ใช้ขวดน้ำที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ จากวัสดุรีไซเคิลแล้ว เรายังได้สร้างเวทีขึ้นจากเมล็ดข้าวและทำให้วันเดอร์ฟรุ๊ตได้กลายเป็นเฟสติวัลที่จุดประกายพลังบวกให้กับสังคมด้วยการสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพริมบารายาที่เกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย”
นับตั้งแต่ก้าวแรก วันเดอร์ฟรุ๊ตนำเสนอความแตกต่างที่หาไม่ได้จากเฟสติวัลอื่นๆ และเห็นได้ชัดว่าในปีนี้ วันเดอร์ฟรุ๊ตให้อะไรที่มากกว่าการเสพอรรถรสทางดนตรีจากสุดยอดศิลปิน ทีมงานวันเดอร์ฟรุ๊ตต่างต้องการมอบมุมมองใหม่ๆและได้รังสรรค์สุดยอดประสบการณ์ที่สร้างมาตราฐานใหม่สำหรับศิลปะ ดนตรี ความคิดสร้างสรรค์ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว โดยทุกสิ่งต่างถูกร้อยเรียงให้อยู่ในท่วงทำนองเดียวกันตามแนวคิดของการสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน เดอะฟิลด์ได้ถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นพื้นที่ที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ ไว้ได้อย่างลงตัวราวกับมีมนตร์สะกด โดยเป็นพื้นที่ที่เหล่าวันเดอเรอร์ได้สรรค์สร้าง แบ่งปันประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับผลงานศิลปะมากมายที่กระจายตัวอยู่รอบบริเวณ
“Little Monster” เป็นผลงานศิลปะที่สร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักรู้ในเรื่องปัญหาขยะและปฎิกูลที่เกิดจากการบริโภคอย่างสิ้นเปลืองในชีวิตประจำวันของเรา ขอขอบคุณทุกๆ คนทั้งที่อยู่เบื้องหน้า ทีมโปรดักชั่นเบื้องหลัง คิวเรเตอร์ ที่ให้เกียรติ โอกาสและอิสระในการทำงาน และทำให้งานชิ้นนี้เป็นมากกว่าแค่งานชิ้นหนึ่งแต่มันคือส่วนหนึ่งของความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต”
ทอม โพธิสิทธิ์
ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็นเฟสติวัลเพื่อความยั่งยืน วันเดอร์ฟรุ๊ตและจอนนี่ วอล์คเกอร์ร่วมเปิดตัวแคมเปญ #WEWILLKEEPWALKING ในวันเดอร์ฟรุ๊ต เพื่อรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนและชดเชยคาร์บอนฟรุ๊ตพริ้นท์ ด้วยวิธีง่ายๆ โดยเหล่าวันเดอเรอร์ได้มีส่วนร่วมปลูกต้น Mangrove กว่า 1,000 ต้นจากการซื้อเครื่องดื่มสุดพิเศษ “Mangrove Drinks” จากบาร์สุดฮิปภายในงานที่เสริฟมาในแก้วรักษ์โลกดีไซน์สุดคูล ซึ่งทุกๆ 1 แก้วที่วันเดอเรอร์ซื้อเท่ากับการปลูกต้น Mangrove 1 ต้น ในบริเวณป่าชายเลนในประเทศเมียนมาร์
นอกจากนี้ เหล่าวันเดอเรอร์ยังหมดห่วงไปกับการพกเงินสดเพื่อจับจ่ายใช้สอยในงาน เพราะวันเดอร์ฟรุ๊ตและธนาคารกรุงเทพได้นำระบบสายรัดข้อมือ RFID ที่ใช้จ่ายแทนเงินสดสำหรับชำระค่าอาหาร เครื่องดื่ม บริการและกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในงานทั้งหมดอีกด้วย
ยากที่จะปฏิเสธว่ายามพระอาทิตย์ขึ้นหรือกำลังจะลับขอบฟ้าคือภาพที่สวยที่สุดภายในวันเดอร์ฟรุ๊ต เหล่าวันเดอเรอร์ต่างมุ่งหน้าไปยังเวที Solar Stage เพื่อเติมความคึกคักไปกับพาเหรดสุดเร้าใจ มันส์สุดเหวี่ยงไปกับบรรดาดีเจอย่าง Wolf + Lamb, KMLN, Sabo และ Eric Volta เวที Solar Stage ผลงานการสร้างสรรค์ของ Gregg Fleishman และ Melissa Barron ศิลปินนักออกแบบรุ่นเก๋าที่เหล่าวันเดอเรอร์คุ้นชื่อเป็นอย่างดี นอกจากที่เหล่าวันเดอเรอร์จะได้สนุกไปกับการปีนป่ายผลงานชิ้นเอกนี้เพื่อดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ของเดอะ ฟิลด์แล้ว สิ่งที่ทั้งสองศิลปินได้ทิ้งไว้กับผลงานชิ้นนี้คือการเปิดโอกาสให้เหล่าวันเดอเรอร์ได้สร้างสัมพันธภาพกับผู้คนจากหลากหลายที่ที่มารวมตัวกัน ณ เวทีแห่งนี้อย่างไม่เคอะเขิน
“ผลงานชิ้นนี้สร้างสรรค์มาเพื่อให้ทุกคนได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการปีนป่ายเพื่อให้ผู้คนในคอมมูนิตี้ได้เชื่อมโยงกัน โดยมีสถาปัตยกรรมและพื้นที่ส่วนตัวเป็นสะพานเชื่อมหากัน วันเดอร์ฟรุ๊ตคือพื้นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับผลงานชิ้นนี้ซึ่งได้นำพาผู้คนให้ได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นและซาบซึ้งไปกับสิ่งรอบตัว”
Gregg Fleishman
“เวที Solar Stage คือที่สุด! เราสร้างมันขึ้นมาเพื่อหลากหลายวัตถุประสงค์และมันก็ใช้ได้จริง ทั้งในยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเวทีแห่งนี้เป็นดั่งพื้นที่ให้เหล่าวันเดอเรอร์ได้ทั้งร้องทั้งเต้น ปีนป่าย พบปะผู้คนทั้งหน้าใหม่และคนคุ้นเคย หรือแม้กระทั่งเป็นที่แอบหลับพักเหนื่อยหลังจากสนุกสนานกับกิจกรรมมากมาย เวทีแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นศูนย์รวมของสรรพสิ่งในวันเดอร์ฟรุ๊ตที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน”
Melissa Barron
ตลอดทั้ง 4 วัน บรรยากาศช่วงเย็นคึกคักมากขึ้นพร้อมกับเหล่าวันเดอเรอร์กลุ่มใหญ่ที่เริ่มทยอยกันไปมุงหน้าเวที Living Stage ซึ่งตกแต่งด้วยลวดลายขนนกยูงสีสันสะดุดตา เพื่อปล่อยอารมณ์รับความบันเทิงขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงจากวงดนตรีที่ทุกคนตั้งตารอเพื่อเขย่าความมันส์ไปกับ Young Fathers และ Rudimental คล้อยตามไปกับดนตรีกระชากอารมณ์จาก Kate Simko & London Electronic Orchestra หรืออดไม่ได้ที่จะร้องเพลงตามไปกับ Lianne La Havas
เวที Farm Stage สร้างความประทับใจให้กับทั้งวันเดอเรอร์ชาวไทยและต่างชาติ ด้วยผลงานการออกแบบและสร้างสรรค์ที่สะท้อนถึงการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมการปลูกข้าวแบบดั้งเดิมของไทย ด้วยการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ช่วงเวลากลางคืนเวทีแห่งนี้มีชีวิตขึ้นมาทันตาเห็นจากหลากหลายการแสดงแสงสีเสียงและดนตรีจากศิลปินที่ถูกใจทั้งคอไทยคอฝรั่งอย่าง Buke and Gase, Yena, Superglasses Ska Ensemble ในช่วงเวลากลางวัน เวทีแห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คให้กับกิจกรรมรอบๆ วันเดอร์ฟรุ๊ตฟาร์มและนาข้าวรอบๆ ที่มีกิจกรรมเวิร์คช็อปให้วันเดอเรอร์ได้ลองทำมากมายไม่รู้เบื่อ
แม้จะพ้นเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เหล่าวันเดอเรอร์ยังคงไม่ยอมเลิกสนุกง่ายๆ พร้อมใจกันตบเท้าเดินต่อไปยัง The Quarry ซิกเนเจอร์ปาร์ตี้ที่ได้ Absolut มาร่วมเพิ่มความมันส์ ไปกับการเปิดแผ่นจากดีเจและศิลปินอย่าง Simian Mobile Disco, Yaya, Dragon, Headless Horseman และ Nicole Moudaber ที่พาวันเดอเรอร์สนุกสุดเหวี่ยงแบบกู่ไม่กลับและไม่ยอมเลิกรากันเลยทีเดียว
ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้มีให้สัมผัสได้อยู่ตลอดงานวันเดอร์ฟรุ๊ตที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความชอบเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชอบเพลงพื้นบ้านไทยแนวหมอลำ ซึ่งไปจับกลุ่มเซิ้งกันอยู่ที่ Molam Bus ของ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson Art Centre) หรือคนที่ชอบบรรยากาศชิลๆ ก็จะไปแฮงค์เอ้าท์กันอยู่แถวๆ The Ziggurat โดยสิงห์ และ Moon Shack โดยแสงโสม หรือไปเฉิดฉายกันอยู่ที่ปาร์ตี้ชาวสีม่วงครั้งแรกของวันเดอร์ฟรุ๊ตกับโชว์สุดแซ่บจากนางโชว์ตัวแม่โดย “Adam and Steve”
สำหรับมนตร์เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มความพิเศษให้วันเดอร์ฟรุ๊ตในปีนี้คือการที่มีผู้คนที่หลากหลายหลั่งไหลมาจากทุกมุมโลกเพื่อมาแบ่งปันความสนใจและความชอบในสถานที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นใน The Rainforest Pavilion ที่ต้อนรับคนที่ชอบการฟังการพูดสร้างแรงบันดาลใจใน Scratch Talks โซน The Sharing Neighbourhood โดย SC ASSET ที่เต็มไปด้วยสาวกเวิร์คช็อป Camp Wonder ที่มีเด็กๆมาทำกิจกรรมมากมาย โซน A Taste of Wonder และ Wonder Salon ที่มีคนมาเสริมสวยปรับลุคกันอย่างสนุกสนาน และ Theatre of Feasts จุดนัดพบของเหล่านักชิมที่ชื่นชอบอาหารรสเลิศโดยสุดยอดเชฟที่เสริฟให้ได้ทานในสไตล์ฟีสต์ที่แชร์อาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย จึงไม่แปลกที่วันเดอร์ฟรุ๊ตกลายเป็นจุดนัดพบและทำความรู้จักของเหล่าวันเดอร์ให้ได้มาร่วมเฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ของตนเองร่วมกับคนคอเดียวกัน
“เมื่อต้นปี เรามีเรื่องที่ทำให้สะเทือนใจ แต่การมาวันเดอร์ฟรุ๊ตเป็นเหมือนยาวิเศษขนานใหญ่ที่ทำให้เรากลับมามีความสุขและเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง เราขอขอบคุณทุกบรรยากาศและสีสันในงาน ที่ให้โอกาสเราได้ปลดปล่อยความเศร้าออกไปในเวลาที่เราต้องการมากที่สุด”
หนึ่งในวันเดอเรอร์ผู้เข้าร่วมงานวันเดอร์ฟรุ๊ตปีนี้
RECOMMENDED CONTENT
พบกับตัวอย่างแรกภาคต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์จากมาร์เวล Marvel Studios’ Deadpool & Wolverine พุธที่ 24 กรกฎาคม โดยภาคนี้กำกับการแสดงโดย Shawn Levy และแน่นอนกับการกลับมาของ Hugh Jackman ที่ไม่มีใครสามารถแทนได้จากบท Wolverine